คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1053/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(1) ข้อต่อสู้ของจำเลยกับสิทธิของจำเลยนั้น เป็นคนละเรื่อง ด้วยเหตุนี้เองแม้ในคดีเรื่องหนึ่งจำเลยจะได้เคยต่อสู้คือ อ้างว่าหนังสือสัญญาปลอม แต่ต่อมาคดีนั้นถึงที่สุด โดยศาลฟังว่าหนังสือสัญญานั้นไม่ปลอม และหนังสือสัญญาที่ว่านี้ได้ทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ เพราะจำเลยได้รับรองกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นไว้ในหนังสือสัญญาดังกล่าวแล้วด้วย เช่นนี้ จำเลยก็ย่อมมีสิทธิตามที่บุคคลนั้นทำให้ไว้แก่จำเลยด้วยเช่นเดียวกัน ฉะนั้นเมื่อจำเลยเสียหายในการที่บุคคลนั้นโอนขายอสังหาริมทรัพย์ที่กล่าวไปโดยสมยอมกับผู้ซื้อจำเลยก็ย่อมมีสิทธิอ้างความเป็นโมฆะอันเกิดจากการซื้อขายในการสมยอมนั้นขึ้นต่อสู้คดีได้
(2) การแสดงเจตนาด้วยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งย่อมมีได้ในสัญญาทุกชนิด อันการทำกรมธรรม์สัญญาด้วยเจตนาลวง แม้จะทำที่อำเภอเป็นโมฆะ และไม่จำต้องขอให้เพิกถอน เพราะไม่เป็นนิติกรรมเสียแล้ว ผลก็เท่ากับไม่ได้ทำอะไรเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านของโจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีหลายประการ
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยดังต่อไปนี้
(๑) ที่โจทก์ว่า จำเลยจะอ้างสิทธิอาศัยตามสัญญากับนางยกกินมาสู้คดีกับโจทก์อีกไม่ได้ เพราะจำเลยเคยต่อสู้ไว้ในคดีเรื่องหนึ่งว่าหนังสือสัญญานี้ปลอมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อต่อสู้ของจำเลยกับเรื่องสิทธิเป็นคนละเรื่อง เมื่อศาลวินิจฉัยถึงที่สุดฟังว่าหนังสือสัญญาระหว่างนางยกกินกับจำเลยเป็นหนังสือสัญญาที่ใช้บังคับได้ไม่ใช่เอกสารปลอม นางยกกินและนายพิ้นฮุนได้กรรมสิทธิ์บ้านพิพากทเพราะจำเลยที่ ๑ ได้รับรองกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทไว้ในหนังสือสัญญาฉบับนี้ เมื่อนายพินฮุนและนางยกกินมีสิทธิตามสัญญานี้ เพราะจำเลยทำให้จำเลย ก็ย่อมมีสิทธิตามสัญญาที่นายพินฮุนกับนางยกกินทำให้จำเลยเช่นเดียวกัน และเมื่อจำเลยเป็นฝ่ายเสียหายในการที่นางยกกิน โอนขายบ้านพิพาทไปโดยสมยอม จำเลยย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะอ้างความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นสู้คดีกับโจทก์ได้
(๒) ที่โจทก์ฎีกาว่า การโอนได้กระทำกันจริง ๆ เพราะได้ทำเป็นกรมธรรม์สัญญาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่า การแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งมีได้ในสัญญาทุกชนิด เพราะนิติกรรมต้องมุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ ถ้าสมรู้กันไม่ตั้งใจผูกพันกันจริงก็ไม่เป็นนิติกรรม เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าแสดงเจตนาลวงเพื่อเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างในคดีนี้เพื่อจะยืมมือโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย การทำกรมธรรม์สัญญาต่ออำเภอก็เป็นโมฆะเสียเปล่าไปเลย มาจำเป็นต้องฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเสียก่อนไม่ เพราะไม่เป็นนิติกรรมเสียแล้วก็ไม่จำต้องเพิกถอนอะไรอีก ผลเท่ากับว่าไม่ได้ทำนิติกรรมกันเลย เรือนพิพาทก็ยังไม่โอนไปเป็นของนางยกยิน นายพินฮุนตามเดิม โจทก์ไม่ใช่เจ้าของเรือน ไม่มีสิทธิจะฟ้องขับไล่จำเลย เมื่อไม่มีสิทธิฟ้อง ปัญหาต่าง ๆ ว่าสิทธิอาศัยใช้ได้หรือไม่ได้แค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องของโจทก์ที่จะเอามาฟ้องจำเลย ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอย่างใดอีก จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share