แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชายหลอกลวงหญิงว่าจะเลี้ยงดูเป็นภรรยา หญิงหลงเชื่อยอมร่วมประเวณีกับชายจนเกิดบุตร์ หญิงฟ้องชายให้รับเด็นเป็นบุตร์และเรียกค่าเลี้ยงดูได้เมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสือซึ่งชายทำไว้การฟ้องขอให้รับรองบุร์นั้นจะฟ้องได้ต่อเมื่อเด็กนั้นคลอดจากครรภ์มารดาแล้วและมีชีวิตรอดอยู่เป็นสภาพบุคคลจะฟ้องในขณะที่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดาหาได้ไม่
ประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม. 179, 183, 249 เมื่อฟ้องเดิมไม่มีมูลที่จะพึงฟ้องได้ตามกฎหมายแต่โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไชเพิ่มเติมฟ้องให้มีมูลขึ้นในภายหลังโดยจำเลยมิได้คัดค้านและศาลอนุญาตดังนี้ต้องถือว่าคำร้องนั้นทำให้ฟ้องเดิมบริบูรณ์ขึ้น สิทธิฟ้องร้องย่อมย้อต้นแต่เมื่อแรกฟ้องข้อกฎหมายใดที่ไม่ได้ยกขั้นว่ากล่าวกันมาแต่ชั้นศาลล่างและมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแล้วศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีแทนเด็กหรือไม่นั้นไม่ใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ส. จำเลยรับรอง บ. บุตร์สาวโจทก์ว่าจะเลี้ยงดูเป็นภริยา จน บ. หลงเชื่อยอมร่วมประเวณีกับ ส.จำเลยจนมีครรภ์ โจทก์จึงขอให้ ส.จำเลยรับว่าทารกในครรภ์ บ. เป็นบุตร์ของจำเลย ๆ ปฏิเสธ โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยรับเด็กที่จะเกิดจากครรภ์ บ.เป็นบุตร์ที่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าเสียหาย
ในระหว่างพิจารณาก่อนสืบพะยานโจทก์เสร็จ โจทก์ได้ขอเพิ่มเติมฟ้องว่า บ.ได้คลอดบุตร์แล้วเป็นหญิงมีชีวิตร็รอดอยู่ศาลชั้นต้นสั้งใหัรับฟ้องเพิ่มเติมของโจทก์ไว้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่าเด็กที่เกิดแต่ บ. นั้นเป็นบุตร์ของ ส. จำเลยจริง จึงพิพากษาให้ ส. จำเลยรับเป็นบุตร์และจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ตั้งแต่เกิดเป็นระยะ ๆ จนบรรลุนิติภาวะ
ส.จำเลยฎีก
ศาลฎีกาตัดสินว่า ข้อที่จำเลยฎีกาตัดฟ้องว่าโจทก์ซึ่งเป็นตาของเด็กไม่มีอำนาจฟ้องให้รับรองเด็กเป็นบุตร์หรือเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กได้ เพราะมิใช่เป็นผู้แทน
โดยชอบธรรมของเด็กตามประมวลแพ่งฯ ม. ๑๕๒๙ ในข้อนี้เห็นว่าจำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างมาแต่ชั้นศาลล่าง เมื่อมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแล้ว ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัย ไม่ได้จำเลยฎีกาอีกข้องหนึ่งว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ในขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา คำพ้อง จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เห็นว่าในเรื่องฟ้องขอให้รับรองเด็กเป็นบุตร์นั้นจะฟ้องได้ต่อเมื่อเด็กมีสภาพบุคคลแล้ว ในเรื่องนี้ฟ้องชั้นแรกจึงไม่สมบูรณ์ ศาลชั้นต้นไม่ควรรับวินิจฉัย แต่เมื่อโจทก์ร้องขอเพิ่มเติมฟ้องจำเลยก็ไม่คัดค้านอย่างใด จึงถือว่าคำร้องนั้นทำให้ฟ้องเดิมสมบูรณ์ขึ้น สิทธิฟ้องร้องย่อมย้อมต้นขึ้นไปตั้งแต่แรกฟ้อง เพราะคดีแพ่งจะเกิดประเด็นขึ้นเมื่อไรก็ได้ อนึ่งจำเลยคัดค้านอีกข้อหนึ่งว่าศาลไม่มีอำนาจพิพากษาให้บุคคลต้องรับผิดในหนี้เกินกว่า ๑๐ ปี เพราะเป็นการเกินอายุความอย่างสูงในกฎหมาย เท่ากับเป็นการยายอายุความออกไป เห็นว่าจำเลยไม่ได้หยิบยกความข้อนี้ขึ้นต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ จึงไม่รับวินิจฉัย ส่วนข้อเท็จจริงคงฟังตามศาลล่าง ทั้ง ๒ จึงพิพากษายืนให้ยกฎีกา ส. จำเลยเสีย