คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1049/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจออกตรวจท้องที่ไปพบพวกผู้ตายหลายคนถือไม้และท่อนเหล็กจับกลุ่มกันในเวลาวิกาล จำเลย จึงเข้าไปสอบถามพร้อมกับแจ้งว่าเป็นตำรวจ และเมื่อจำเลยเอื้อมมือจะเอาไม้หรือเหล็กจากพวกผู้ตาย พวกผู้ตายก็เข้ากลุ้มรุมตีจำเลยจนศีรษะแตก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้มิใช่เป็นการที่จำเลยสมัครใจวิวาทกับผู้ตายและพวกจำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตัวได้ แต่เมื่อจำเลยถูกผู้ตายกับพวกรุมทำร้ายจนล้มลงแล้ว จำเลยได้ชักปืนออกมา ผู้ตายกับพวกก็วิ่งหนี จำเลยจึงยิงไปทางพวกผู้ตายที่กำลังวิ่งหนี กระสุนถูกผู้ตายเข้าทางด้านหลัง 2 แผลถึงแก่ความตายทันทีห่างจากจุดที่เกิดตีกัน 19.90 เมตร เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าภยันตรายที่จะเกิดแก่จำเลยได้ผ่านพ้นไปแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นป้องกัน
การที่จำเลยถูกผู้ตายกับพวกเข้ากลุ้มรุมทำร้ายเอาก่อน ถือได้ว่าจำเลยได้ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยจึงยิงผู้ข่มเหงในขณะนั้นถึงตาย เข้าลักษณะการกระทำโดยบันดาลโทสะ

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ กรณีเป็นเรื่องเดียวกัน โจทก์แต่ละสำนวนฟ้องก่อนหลังกัน แต่ต่อมาศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยโจทก์กล่าวหาว่า เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๐๙ เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยใช้ปืนสั้นคอลท์ .๓๘ ยิงนายวรวุฒิ จินดานนท์ โดยเจตนาฆ่าหลายนัดกระสุนถูกศีรษะด้านหลัง และเข้าช่องกระดูกซี่โครงด้านหลัง นายวรวุฒิถึงแก่ความตายทันที เหตุเกิดที่ตำบลบ้านบาตร อำเภอป้อมปราบ จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๒๘๙ และสั่งริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยกระทำเพื่อป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำป้องกันเกินแก่เหตุ และยังไม่เข้าลักษณะการกระทำทารุณโหดร้าย พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๖๙ จำคุก ๒ ปี รอการลงโทษจำคุกไว้ ๓ ปี ตามมาตรา ๕๖ อาวุธปืน ปลอกกระสุนปืนและหัวกระสุนปืนของกลางให้ริบ
นายถวิล จินดานนท์ โจทก์ และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ออกตรวจบริเวณที่เกิดเหตุตามคำสั่งสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ โดยจำเลยแต่งตัวนอกเครื่องแบบ เมื่อถึงที่เกิดเหตุได้พบพวกผู้ตายหลายคนถือไม้และท่อนเหล็กจับกลุ่มกันในเวลาวิกาล จำเลยจึงเข้าไปสอบถามพวกผู้ตาย พวกผู้ตายก็เข้ากลุ้มรุมตีจำเลยจนศีรษะแตกจำเลยจึงได้ต่อสู้ป้องกันตัวจนผู้ตายมีบาดแผลรอยแดงหนังถลอกตามรายงานการตรวจศพ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ก็มิใช่เป็นการที่จำเลยสมัครใจวิวาทกับผู้ตายและพวก จำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตัวในชั้นนี้ได้ เมื่อจำเลยถูกผู้ตายกับพวกรุมทำร้ายจนล้มลงแล้ว จำเลยได้ชักปืนออกมาผู้ตายกับพวกเห็นดังนั้นก็วิ่งหนี จำเลยจึงยิงไปทางพวกผู้ตายที่กำลังวิ่งหนีกระสุนปืนเข้าทางด้านหลังของผู้ตายทั้งสองแผลตามคำเบิกความของพันตำรวจโทเทพดรุณ กรินชัย พยานโจทก์ การที่จำเลยยิงผู้ตายเมื่อผู้ตายกับพวกวิ่งหนีจากจำเลยแล้ว และปรากฏจากหลักฐานที่โจทก์จำเลยรับกันว่าจากที่ที่ผู้ตายนอนตายถึงจุดเกิดเหตุตีกันนี้ ระยะรวม ๑๙.๙๐ เมตร เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าภยันตรายที่จะเกิดแก่จำเลยนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นป้องกัน แต่อย่างไรก็ดีตามข้อเท็จจริงที่ได้วินิจฉัยมาแล้วปรากฏว่าจำเลยได้ถูกผู้ตายกับพวกเข้ากลุ้มรุมทำร้ายเอาก่อน ถือได้ว่าจำเลยได้ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยจึงยิงผู้ข่มเหงในขณะนั้นถึงตาย เข้าลักษณะการกระทำโดยบันดาลโทสะ ซึ่งศาลจะลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดสำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๗๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share