แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใหญ่บ้าน กลับจากธุระมาถึงบ้านก็ได้รับแจ้งจากจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นลูกบ้านว่าถูกโจทก์เรียกร้องเอาเงินไป ขอให้ไปแจ้งต่อตำรวจเพื่อเอาเงินคืน จำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นผู้ใหญ่บ้านจึงไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจตามคำบอกเล่าของลูกบ้าน อันเป็นการกระทำตามหน้าที่ของผู้ปกครองหมู่บ้าน โดยเชื่อตามคำบอกเล่าของลูกบ้านว่าเป็นความจริง เช่นนี้ จำเลยที่ 1 ยังหามีความผิดฐานแจ้งความเท็จไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง ๘ คนฐานร่วมกันแจ้งความเท็จและกรรโชกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๓, ๑๗๔, ๓๓๗, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้รับไว้พิจารณาเฉพาะฐานสมคบกันแจ้งความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๒, ๑๗๔, ๘๓
จำเลยทั้ง ๘ คนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้ง ๘ คนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๒, ๑๗๔, ๘๓ ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๔, ๘๓ จำคุกคนละ ๑ ปี
จำเลยทั้ง ๘ คนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๑ เป็นที่สงสัยว่าจำเลยที่ ๑ จะไม่รู้ความจริงมาก่อนว่าข้อความที่นำไปแจ้งนั้นเป็นความเท็จ และเห็นควรกำหนดโทษจำคุกจำเลยคนอื่น ๆ ให้เบาลง พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ ๒ ถึงจำเลยที่ ๘ คนละ ๖ เดือน เฉพาะจำเลยที่ ๑ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทุกคนตามศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับตัวจำเลยที่ ๑ ส่วนฎีกาที่เกี่ยวกับจำเลยนอกนั้นเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามไม่รับ คดีคงมีปัญหาขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า สำหรับนายหนูจำเลยที่ ๑ นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่านายหนูจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ใหญ่บ้านจำเลยนอกนั้นเป็นลูกบ้าน เมื่อโจทก์กล่าวหาว่าพวกจำเลยลักเป็ดมาฆ่ากินและเรียกร้องค่าเสียหายกันนั้น นายหนูจำเลยที่ ๑ ไม่อยู่ ไม่รู้เรื่องด้วย ครั้นกลับจากธุระมาถึงบ้าน นายหนูจำเลยที่ ๑ จึงได้รับแจ้งจากนายบุญ จำเลยที่ ๗ ลูกบ้านว่าถูกโจทก์เรียกร้องเอาเงินจากพวกจำเลยไป ๒,๔๐๐ บาท ขอให้ไปแจ้งต่อตำรวจเพื่อเอาเงินคืน นายหนูจำเลยที่ ๑ ในฐานะเป็นผู้ใหญ่บ้านจึงไปแจ้งต่อจ่าสิบตำรวจวีระตามคำบอกเล่าของลูกบ้านอันเป็นการกระทำตามหน้าที่ของผู้ปกครองหมู่บ้าน โดยเชื่อตามคำบอกเล่าของลูกบ้านว่าเป็นความจริง เช่นนี้หาเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จไม่ แม้โจทก์จะนำสืบว่าก่อนนายหนูจำเลยที่ ๑ จะไปแจ้งความนั้น จำเลยที่ ๑ ได้ทราบเรื่องจากนายบุญธรรมสารวัตรกำนันแล้ว แต่เมื่อลูกบ้านของจำเลยที่ ๑ หลายคนยืนยันว่าความจริงเป็นดังคำบอกเล่าของลูกบ้านเช่นนี้ การที่นายหนูนำความไปแจ้งต่อจ่าสิบตำรวจวีระเพื่อสอบสวนหาความจริงอีกโดยนายหนูจำเลยที่ ๑ ไม่มีโอกาสรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไรแน่นั้นการกระทำของนายหนูจำเลยที่ ๑ ย่อมไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้อง โจทก์สำหรับนายหนูจำเลยที่ ๑ เสียนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน