คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1046/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำของโจทก์ที่ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินมรดกของ น. เพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันโดยมิได้มีการขอแบ่งทรัพย์มรดกของ น. จากจำเลยทั้งห้าก่อน ซึ่งไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนที่ระบุไว้ในคำพิพากษา ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้เพิกถอนการยึดอันเป็นความผิดของโจทก์เอง ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้ขอบังคับคดี จึงต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง, 153 วรรคสอง, 153/1 และตาราง 5 ข้อ 3 ท้าย ป.วิ.พ. (เดิม) บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าผู้ที่นำยึดจะต้องเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อกันแต่อย่างใด ประกอบกับเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีย่อมเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลได้ หากจำเลยทั้งห้าเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน เพียงแต่คดีนี้ศาลได้กำหนดในคำพิพากษาไว้แล้วถึงวิธีการแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งห้าโดยให้ตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกันก่อน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยทั้งห้ายังมิได้แบ่งทรัพย์มรดกกัน แต่โจทก์กลับขอให้บังคับคดียึดที่ดินมรดกออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันข้ามขั้นตอนตามที่ระบุไว้ในคำพิพากษา การที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินมรดก จึงเกิดจากการกระทำของโจทก์เอง เมื่อศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึด โจทก์จึงต้องมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย คำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายจึงชอบแล้ว
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วว่า โจทก์นำยึดที่ดินมรดกโดยยังมิได้ตกลงแบ่งกันในระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งห้าอันเป็นการบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนตามคำพิพากษาจนศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการยึดที่ดิน ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย อย่างไรก็ตาม การคิดค่าธรรมเนียมของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้าย ป.วิ.พ. (เดิม) ระบุว่า เมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้เสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดนั้น เหตุผลที่บัญญัติเช่นนี้เพราะโดยปกติผลของการไปยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะได้มูลค่าทรัพย์สินน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี กฎหมายจึงบัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมตามราคาทรัพย์สินที่ยึดได้ ซึ่งจะเสียค่าธรรมเนียมน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี แต่กฎหมายมิได้คำนึงถึงกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว หากได้มูลค่าทรัพย์สินเกินกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดีจะให้ปฏิบัติในเรื่องการเสียค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นประการใดและคงไม่ประสงค์จะให้เสียค่าธรรมเนียมมากกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี มิฉะนั้นจะเป็นการเสียค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่พิพาทกันในคดีซึ่งย่อมไม่ถูกต้อง ฉะนั้น กรณีที่ยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย การเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดนั้น คำว่า ราคาทรัพย์สินที่ยึดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงหมายถึงราคาทรัพย์สินที่ยึดซึ่งไม่เกินจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี ประกอบกับไม่ปรากฏพฤติการณ์แห่งคดีว่าโจทก์นำยึดที่ดินมรดกเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีตามสิทธิที่โจทก์ได้รับดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึดทั้งหมดนั้น จึงไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนส่วนแบ่งที่โจทก์มีสิทธิได้รับในทรัพย์สินที่ยึด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันแบ่งทรัพย์มรดกของนางนิภา ให้แก่โจทก์ 1 ใน 7 ส่วนของรายการทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถ้าแบ่งไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้มาแบ่งให้ตามส่วนกันและให้จำเลยทั้งห้าใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความ 50,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ทรัพย์มรดกส่วนที่เป็นหุ้นบริษัทง่วนหลีจั่น (1984) จำกัด เป็นทรัพย์สินของนางนิภาที่ตกเป็นมรดก 25,000 หุ้น หุ้นบริษัทสยามผลิตภัณฑ์กระดาษ จำกัด เป็นทรัพย์สินของนางนิภาที่ตกเป็นมรดก 300 หุ้น ให้จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันจ่ายค่าทนายความชั้นฎีกาให้แก่โจทก์ 6,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีอยู่ในระหว่างบังคับคดี โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์มรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 12490 อำเภอสัมพันธวงศ์ (สามเพ็ง) กรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดเลขที่ 44472 อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดเลขที่ 826 อำเภอสาทร (บางรัก) กรุงเทพมหานคร และที่ดินโฉนดเลขที่ 2143 ถึง 2146 และ 2148 อำเภอสาทร กรุงเทพมหานคร เพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน
ต่อมาจำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 ว่า คดีนี้เป็นการแบ่งทรัพย์มรดกในระหว่างทายาท กรณีจึงไม่ใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่โจทก์ขอให้ออกคำบังคับและออกหมายบังคับคดีเท่ากับเป็นการขอให้ศาลกำหนดวิธีการแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทโดยธรรมและเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์มรดก การที่ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีก็เพื่อให้ดำเนินการตามคำพิพากษาซึ่งได้ระบุลำดับขั้นตอนการบังคับคดีไว้แล้ว โดยต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาในลำดับแรกด้วยการแบ่งทรัพย์มรดกตามกฎหมายเสียก่อน โดยโจทก์หรือจำเลยทั้งห้าจะร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเลือกปฏิบัติในลำดับที่สองคือ ขอนำยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาดอันข้ามลำดับขั้นตอนที่ระบุในคำพิพากษาโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลและจะขอบังคับเกินไปจากคำพิพากษาหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ดำเนินการตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกับจำเลยทั้งห้าตามคำพิพากษาลำดับแรก การที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ให้เพิกถอนการยึดที่ดินของเจ้าพนักงานบังคับคดี และให้ดำเนินการตามคำพิพากษาต่อไป โจทก์อุทธรณ์และฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามีคำพิพากษายืน ต่อมาวันที่ 9 สิงหาคม 2554 โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งจากเจ้าพนักงานบังคับคดีให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี กรณียึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายเป็นเงิน 20,670,054.70 บาท ภายในกำหนด 15 วัน
โจทก์ยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลที่สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายกับโจทก์
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันแบ่งทรัพย์มรดกของนางนิภา เจ้ามรดกให้แก่โจทก์ 1 ใน 7 ส่วน ของทรัพย์มรดกตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องบางรายการ ถ้าแบ่งไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้มาแบ่งกันตามส่วน หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้ว โจทก์กับจำเลยทั้งห้ายังมิได้ดำเนินการแบ่งทรัพย์มรดกกัน แต่โจทก์กลับดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์มรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 12490 อำเภอสัมพันธวงศ์ (สามเพ็ง) กรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดเลขที่ 44472 อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดเลขที่ 826 อำเภอสาทร (บางรัก) กรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดเลขที่ 2143 ถึง 2146 และ 2148 อำเภอสาทร กรุงเทพมหานคร เพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีกรณียึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (เดิม) หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า การกระทำของโจทก์ที่ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินมรดกของนางนิภา เพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันโดยมิได้มีการขอแบ่งทรัพย์มรดกของนางนิภาจากจำเลยทั้งห้าก่อน ซึ่งไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนที่ระบุไว้ในคำพิพากษา ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้เพิกถอนการยึดอันเป็นความผิดของโจทก์เอง ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้ขอบังคับคดี จึงต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 วรรคหนึ่ง, 153 วรรคสอง, 153/1 และตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (เดิม) ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันในระหว่างทายาท ไม่ได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อกัน เป็นการขอให้ศาลกำหนดวิธีการแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งห้าในฐานะทายาทโดยธรรมมิใช่เป็นการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อบังคับเอาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา จึงไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น ในข้อนี้บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าผู้ที่นำยึดจะต้องเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อกันแต่อย่างใด ประกอบกับเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีย่อมเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลได้ หากจำเลยทั้งห้าเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน เพียงแต่คดีนี้ศาลได้กำหนดในคำพิพากษาไว้แล้วถึงวิธีการแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งห้าโดยให้ตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกันก่อน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยทั้งห้ายังมิได้แบ่งทรัพย์มรดกกัน แต่โจทก์กลับขอให้บังคับคดียึดที่ดินมรดกออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันข้ามขั้นตอนตามที่ระบุไว้ในคำพิพากษา การที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินมรดก จึงเกิดจากการกระทำของโจทก์เอง เมื่อศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึด โจทก์จึงต้องมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าว จึงฟังไม่ขึ้น คำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายจึงชอบแล้ว ส่วนปัญหาว่าโจทก์จะต้องชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายเพียงใดนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วว่า โจทก์นำยึดที่ดินมรดกโดยยังมิได้ตกลงแบ่งกันในระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งห้าอันเป็นการบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนตามคำพิพากษาจนศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการยึดที่ดิน ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายดังวินิจฉัยมาข้างต้น ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม การคิดค่าธรรมเนียมของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (เดิม) ระบุว่า เมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้เสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดนั้น เหตุผลที่บัญญัติเช่นนี้เพราะโดยปกติผลของการไปยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะได้มูลค่าทรัพย์สินน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี กฎหมายจึงบัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมตามราคาทรัพย์สินที่ยึดได้ ซึ่งจะเสียค่าธรรมเนียมน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี แต่กฎหมายมิได้คำนึงถึงกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว หากได้มูลค่าทรัพย์สินเกินกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดีจะให้ปฏิบัติในเรื่องการเสียค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นประการใดและคงไม่ประสงค์จะให้เสียค่าธรรมเนียมมากกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี มิฉะนั้นจะเป็นการเสียค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่พิพาทกันในคดีซึ่งย่อมไม่ถูกต้อง ฉะนั้น กรณีที่ยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายการเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดนั้น คำว่า ราคาทรัพย์สินที่ยึดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงหมายถึงราคาทรัพย์สินที่ยึดซึ่งไม่เกินจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี ประกอบกับไม่ปรากฏพฤติการณ์แห่งคดีว่า โจทก์นำยึดที่ดินมรดกเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีตามสิทธิที่โจทก์ได้รับดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึดทั้งหมดนั้น จึงไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนส่วนแบ่งที่โจทก์มีสิทธิได้รับในทรัพย์สินที่ยึด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนส่วนแบ่งที่โจทก์มีสิทธิได้รับในทรัพย์สินที่ยึด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share