แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ ส. นำคดีมาฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง 4 คดี และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาคดีทั้งหมดเข้าด้วยกัน แม้ ส. แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า กระทำในฐานะทายาทเจ้ามรดก และกระทำแทนทายาทอื่นของเจ้ามรดกในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 851 แต่เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือว่า ส. ได้รับแต่งตั้งจากทายาทอื่นและโจทก์ให้เป็นผู้กระทำการแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 798 สัญญาประนีประนอมยอมความที่ ส. ทำกับจำเลยซึ่งมีการตกลงแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกรวมทั้งที่ดินพิพาทจึงไม่ผูกพันโจทก์ แม้การตกลงระหว่างบุคคลทั้งสองจะมีข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 และโจทก์เข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว แต่ก็ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้โจทก์ในฐานะทายาทของเจ้ามรดกใช้สิทธิฟ้องเรียกคืนทรัพย์มรดกจากผู้ที่ได้รับไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 5765 ตำบลเสม็ดใต้ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่ 1 ไร่ 13.1 ตารางวา กลับเป็นทรัพย์มรดกของนางสาวบุญช่วย ให้จำเลยส่งต้นฉบับโฉนดที่ดินคืนโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งว่า นางสาวบุญช่วย เป็นบุตรของนายจินฮงกับนางพวง และมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันคือ นางกิ่น นายจ้อย นายเข่งหรือเบ่ง นางสาวบุญชุบ นางสาวลิ้นจี่ นายเบ่งกุ่ย และนางสาวบุญนำ โดยโจทก์เป็นบุตรของนางกิ่น วันที่ 31 สิงหาคม 2534 นางสาวบุญช่วยถึงแก่ความตาย มีทรัพย์มรดกคือที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 5765 ตำบลเสม็ดใต้ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 31 ตารางวา จากนั้นนางสาวบุญชุบ นางสาวลิ้นจี่ นางสาวบุญนำ โจทก์และจำเลยจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินของนางสาวบุญช่วยแปลงดังกล่าว ต่อมาวันที่ 12 พฤศจิกายน 2548 นางสาวบุญชุบถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวบุญชุบ ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 816/2550 ต่อมานายสมพงษ์ บุตรของนายเข่งยื่นคำร้องขอให้ถอดถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวบุญชุบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการมรดกและตั้งนายสมพงษ์เป็นผู้จัดการมรดกแทน คดีถึงที่สุดแล้ว นอกจากนี้นายสมพงษ์ยังได้ฟ้องจำเลยเพื่อเพิกถอนนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของนางสาวลิ้นจี่ นางสาวบุญชุบ นางสาวบุญช่วยและนางสาวบุญนำ แล้วต่อมานายสมพงษ์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอมตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1102/2553 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างนายสมพงษ์กับจำเลยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1102/2553 มีผลผูกพันโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่นายสมพงษ์นำคดีมาฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งรวม 4 คดี และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาคดีทั้งหมดเข้าด้วยกันตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1102/2553 แม้นายสมพงษ์แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า กระทำในฐานะทายาทเจ้ามรดก และกระทำแทนทายาทอื่นของเจ้ามรดกในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลย แต่ปรากฏว่านายสมพงษ์มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือการแต่งตั้งจากทายาทให้เป็นผู้กระทำการแทน เนื่องจากในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 851 บัญญัติว่า “อันสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” อันเป็นการแสดงว่าหากมีการตั้งตัวแทนให้ไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็ย่อมจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 วรรคสอง ดังนั้นเมื่อไม่ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือว่านายสมพงษ์ได้รับแต่งตั้งจากทายาทอื่น ๆ รวมทั้งโจทก์ด้วย สัญญาประนีประนอมยอมความที่นายสมพงษ์ทำกับจำเลยซึ่งมีการตกลงแบ่งที่ดินทรัพย์มรดกรวมทั้งที่ดินพิพาทจึงไม่ผูกพันโจทก์ แม้การตกลงระหว่างบุคคลทั้งสองจะมีข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 และโจทก์เข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว แต่ก็ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้โจทก์ในฐานะทายาทของเจ้ามรดกใช้สิทธิฟ้องเรียกคืนทรัพย์มรดกจากผู้ที่รับไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนี้การที่โจทก์ฟ้องจำเลยก็โดยอ้างฐานะความเป็นทายาทของนางสาวบุญช่วยเจ้าของที่ดินพิพาทเพื่อติดตามเอาที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิและมิใช่ทายาท ซึ่งมีประเด็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางสาวบุญช่วยหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิติดตามเอาที่ดินพิพาทคืนมาเป็นทรัพย์มรดกของนางสาวบุญช่วยหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยโดยยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความก่อนจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น และเนื่องจากคดียังไม่ได้มีการสืบพยาน จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (2) ประกอบมาตรา 247
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ