คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญารับจ้างขนสินค้าโดยการล่อแพ เมื่อจำเลยละเลยไม่จัดการขนส่งให้ทันกำหนดเวลา จนพ้นกำหนดเวลาตามสัญญาแล้วจึงมาถูกปล้นกลางทาง ดังนี้ ถือว่าจำเลยผิดสัญญา จะยกเอาข้อถูกปล้นเป็นเหตุแก้ตัวไม่ได้
ในสัญญาขนส่งกระเทียมมีว่า จำเลยยอมใช้ค่าเสียหายเป็นเงินแสนละ 100 บาท ดังนี้ ค่าเสียหายที่กำหนดไว้ในสัญญาย่อมรวมทั้งค่ากระเทียมด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญารับจ้างขนสินค้ากระเทียมของโจทก์ จากจังหวัดลำพูนไปส่งกับผู้แทนของโจทก์ที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ หากความเสียหายเกิดขึ้นจำเลยยอมใช้ค่าเสียหายเป็นเงินแสนละ ๑๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน โจทก์ได้มอบกระเทียมรวมทั้งสิ้น ๒๔๓.๑๕๖ แสน กับ เมล็ดผักชี ๒๒.๕๑๖ แสน ให้แก่จำเลยไป ในที่สุดผู้แทนโจทก์ได้รับกระเทียมจากจำเลยขาดไป ๑๗๘ แสน เม็ดผักชีขาดไป ๑๔๒ แสนเศษ ค่าเสียหายที่ต้องใช้ตามสัญญาเป็นเงิน ๓๒๐๐๐ บาท ราคาของกับค่าเสียหาย รวมเป็นเงิน ๖๖๗๙๖ บาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงินนี้พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้ทำสัญญากับโจทก์จริง และจำเลยที่ ๑ ได้รับมอบกระเทียม และภรรยาจำเลยที่ ๑ ได้รับมอบเม็ดผักชีไปจริงดังฟ้อง และเมื่อได้รับมอบสินค้านั้นเป็นฤดูแล้ง น้ำในแม่น้ำแห้งจะล่องแพไม่ได้ ผู้แทนของโจทก์จะได้เลื่อนกำหนดเวลาให้จำเลยที่ ๑ ต่อไปอีกไม่มีกำหนด
จำเลยที่ ๑ ได้รับสินค้าและได้ทำการขนมันทุกแพล่องไป ๒ คราวถึงเขตต์จังหวัดตาก ได้มีคนร้ายปล้นแพและสินค้าที่จำเลยที่ ๑ นำล่องแพไป เป็นเหตุสุดวิสัยที่จะหลีกเลี่ยงป้องกันได้
แม้จำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดค่าเสียหาย โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกราคาและค่าเสียหายเม็ดผักชี โจทก์จะเรียกได้ก็แต่ฉะเพาะค่าเสียหายสำหรับกระเทียมอย่างเดียว ทั้งไม่มีสิทธิเรียกเอากระเทียมอีก
จำเลยที่ ๒ ตัดฟ้องว่า ทำสัญญาค้ำประกันฉะเพาะสินค้ากระเทียมอย่างเดียว การที่โจทก์ยอมเลื่อนเวลาให้จำเลยที่ ๑ โดยไม่แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดชอบ อนึ่ง เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดเพราะเหตุสุดวิสัย จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ต้องรับผิด้วย
ศาลชั้นต้นฟังว่า ภรรยาจำเลยที่ ๑ ไม่ได้รับเม็ดผักชีไว้ในฐานะตัวแทน จำเลยที่ ๑ จึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๑๗๘๐๐ บาท อันเป็นค่าเสียหายตามจำนวนกระเทียมที่ขาดไป กับดอกเบี้ย ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ชำระแทนจนครบ
โจทก์, จำเลย อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่า ได้มีการเลื่อนเวลาตามสัญญาให้ ฟังไม่ได้ สำหรับการขนนั้น ได้ความจากจำเลยที่ ๑ ว่า เมื่อแพไปติดฝายแล้ว ต่อมาในราวเดือนพฤษภาคม น้ำในแม่น้ำแม่ปิงมากขึ้น นางจรูญภรรยาจำเลยที่ ๑ ได้นำแพล่องไป ๑๐ แพ และได้ถึงปากน้ำโพโดยเรียบร้อย ส่วนแพที่เหลือ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้จัดการล่อง ทิ้งไว้จน ๓ – ๔ เดือน จึงได้ล่อง และถูกปล้นกลางทอง ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ รับสัญญาว่า จะขนส่งภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๔๘๘ ซึ่งต้องหมายความว่า จำเลยที่ ๑ รับว่า ขนได้ภายในวันที่กล่าวนั้น และไม่ได้ความว่า ปีนั้นน้ำน้อยเป็นพิเศษกว่าปีอื่น ๆ แต่จำเลยที่ ๑ ละเลยทิ้งไว้จนถึงเดือนกันยายน จึงถูกปล้น ดังนี้จะยกเอาเหตุที่ถูกปล้นขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวย่อมไม่ได้
ค่ากระเทียมและค่าเสียหายรวมกันนั้น โจทก์เป็นแต่ขอมาท้ายฎีกา หาได้บรรยายเหตุในคำฟ้องฎีกาไม่ อย่างไรก็ดีศาลฎีกาเห็นว่า ค่าเสียหายที่กำหนดไว้ในสัญญารวมทั้งค่ากระเทียมด้วย ไม่ชอบที่จะให้ค่ากระเทียมต่างหาก
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share