แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88เรื่องระบุพยานหลักฐานนั้น แบ่งออกได้เป็น 3 ตอน คือตอนแรกว่าด้วยการระบุพยานหลักฐานครั้งแรก ตอนที่ 2ว่าด้วยการระบุพยานเพิ่มเติมให้ระบุเพิ่มเติมได้เสมอในเมื่อฝ่ายที่สืบก่อนยังสืบไม่เสร็จ ตอนที่ 3 ว่าด้วย การระบุพยานหลักฐาน จะเป็นระบุครั้งแรกก็ดี ระบุเพิ่มเติมก็ดี หากไม่เข้าตอน 1 และ 2 แล้ว ต้องขออนุญาตศาลก่อน ความประสงค์ของบทบัญญัตินี้ก็เพื่อมิให้คู่ความจู่โจมกันในทางพยานหลักฐานโดยไม่รู้สึกตัว ในทางปฏิบัติจึงชอบที่จะพิจารณาว่า การที่คู่ความฝ่ายใดไม่ระบุพยานภายในกำหนดนั้น เป็นโดยประสงค์จะเอาเปรียบในทางคดี หรือว่าพลั้งพลาดไป หาได้ประสงค์จะเอาเปรียบในทางคดีไม่ และการที่ไม่ระบุพยานนั้น มีทางพอจะแก้ไขไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหายหรือไม่ หากเป็นเรื่องไม่ใช่เอาเปรียบและมีทางจะแก้ไขไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหายเช่น อาจให้อีกฝ่ายหนึ่งระบุพยานเพิ่มเติมบ้างเสียค่าเสียหายให้อีกฝ่ายหนึ่งเพราะต้องเลื่อนคดี เป็นต้น ก็ชอบที่ศาลจะใช้อำนาจตามตอน 3 โดยสั่งตามควรแก่กรณี ทั้งนี้ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ตัวความตามสมควร
ทนายโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานบุคคลและเอกสารก่อนวันเริ่มต้นสืบพยานนัดแรก 1 วัน อ้างว่าหลงลืม พยานที่ระบุขอสืบก็เป็นตัวโจทก์กับเอกสารสัญญากู้ ซึ่งโจทก์พร้อมที่จะนำเข้าสืบได้ในวันนั้น ในกรณีเช่นนี้ ไม่เป็นการทำให้จำเลยเสียหายแต่อย่างใด หรือถ้าหากจำเลยจะเสียหายก็มีทางแก้ไขได้โดยศาลย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้เลื่อนคดีไปให้โอกาสจำเลยได้พิจารณาเอกสารและตระเตรียมคดีถ้าจำเลยจะขอค่าเสียหายโดยต้องเลื่อนศาลเห็นสมควรจะพิจารณาให้ด้วยก็ได้เช่นนี้ ย่อมเป็นการสมควรที่ศาลจะได้ฟังพยานทั้งสองฝ่ายเพื่อชี้ขาดข้อสำคัญแห่งคดีไปโดยความเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นเจตนารมย์อันแท้จริงของกฎหมาย ศาลควรให้รับระบุพยานของโจทก์ดังกล่าวไว้พิจารณาต่อไป (ควรดูฎีกาที่ 455/2491 และ492/2500ประกอบ)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้ 1,700 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การต่อสู้หลายประการและว่า จำเลยค้างเงินกู้โจทก์อยู่อีก 50 บาท เท่านั้น
ศาลกะประเด็นให้โจทก์นำสืบก่อน
ทนายโจทก์ยื่นระบุพยานบุคคลและเอกสารก่อนวันสืบพยานโจทก์1 วัน ทนายจำเลยแถลงคัดค้านว่า โจทก์ไม่ระบุพยานให้ถูกต้องตามกระบวนวิธีพิจารณา ทนายโจทก์แถลงว่าหลงลืมไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ที่ทนายโจทก์แถลงว่าระบุพยานล่าช้าเพราะหลงลืมนั้นไม่เป็นเหตุควรจะผ่อนผันให้ระบุพยานได้ เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87, 88 จำเลยให้การต่อสู้คดีโจทก์ไว้หลายประการ เมื่อพิเคราะห์ถึงความยุติธรรมก็ไม่สมควรให้โจทก์ระบุพยานได้ จึงไม่รับระบุพยานของโจทก์เป็นอันว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบตามฟ้อง พิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เท่าจำนวนที่จำเลยรับว่าเป็นหนี้โจทก์อยู่ 500 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานของโจทก์ไว้พิจารณาและพิพากษาใหม่
ศาลอุทธรณ์อ้างฎีกาที่ 455/2491 และฎีกาที่ 492/2500 ขึ้นเปรียบเทียบว่า มีเหตุสมควรที่จะรับบัญชีระบุพยานของโจทก์ไว้ได้จึงพิพากษากลับศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับบัญชีระบุพยานของโจทก์ไว้พิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกาขอให้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่า บทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 88 เรื่องระบุพยานหลักฐานนั้น แบ่งออกได้เป็น 3 ตอน คือตอนแรกว่าด้วยการระบุพยานหลักฐานครั้งแรก ตอนที่ 2 ว่าด้วยการระบุพยานเพิ่มเติม ให้ระบุเพิ่มเติมได้เสมอในเมื่อฝ่ายที่สืบก่อนยังสืบไม่เสร็จ ตอนที่ 3 ว่าด้วยการระบุพยานหลักฐานจะเป็นระบุครั้งแรกก็ดี ระบุเพิ่มเติมก็ดีหากไม่เข้าตอน 1 และ 2 แล้ว ต้องขออนุญาตศาลก่อน ฉะนั้น ความประสงค์ของบทบัญญัตินี้ ก็เพื่อมิให้คู่ความจู่โจมกันในทางพยานหลักฐานโดยไม่รู้สึกตัว ในทางปฏิบัติจึงชอบที่จะพิจารณาว่า การที่คู่ความฝ่ายใดไม่ระบุพยานภายในกำหนดนั้น เป็นโดยความประสงค์จะเอาเปรียบในทางคดีหรือว่าพลั้งพลาดไป หาได้ประสงค์จะเอาเปรียบในทางคดีไม่ และการที่ไม่ระบุพยานนั้น มีทางพอจะแก้ไขไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหายหรือไม่หากเป็นเรื่องไม่ใช่เอาเปรียบ และมีทางจะแก้ไขไม่ให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียหาย เช่น อาจให้อีกฝ่ายหนึ่งระบุพยานเพิ่มเติมบ้าง เสียค่าเสียหายให้อีกฝ่ายหนึ่งเพราะต้องเลื่อนคดีเป็นต้น ก็ชอบที่ศาลจะใช้อำนาจตามตอน 3 โดยสั่งตามควรแก่กรณี ทั้งนี้ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ตัวความตามสมควร
คดีนี้ได้ความว่า โจทก์ยื่นระบุพยานก่อนวันสืบพยานหนึ่งวันพยานที่ระบุขอสืบเป็นแต่เพียงตัวโจทก์กับเอกสารสัญญากู้ซึ่งโจทก์พร้อมที่จะนำเข้าสืบได้ในวันนั้น ในกรณีเช่นนี้ไม่เป็นการทำให้จำเลยเสียหายแต่อย่างใด หรือถ้าหากจำเลยจะเสียหายก็มีทางแก้ไขได้โดยศาลย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้เลื่อนคดีไป ให้โอกาสจำเลยได้พิจารณาเอกสารและตระเตรียมคดี ถ้าจำเลยจะขอค่าเสียหายโดยต้องเลื่อน ศาลเห็นสมควรจะพิจารณาให้ด้วยก็ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการสมควรที่ศาลจะได้ฟังพยานทั้งสองฝ่ายเพื่อชี้ขาดข้อสำคัญแห่งคดีไปโดยความเที่ยงธรรม ซึ่งเป็นเจตนารมย์อันแท้จริงของกฎหมาย จึงเห็นควรให้รับระบุพยานของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์