คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ทนายจำเลยแถลงรับรองหลักเขตติดต่อระหว่างที่ดินโจทก์จำเลยว่ามีอยู่จริงตามสภาพเดิม เท่ากับรับรองว่าเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยอยู่ตรงไหนถ้าการรังวัดเป็นไปถูกต้อง
โจทก์ฟ้องว่า รั้วของจำเลยล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลบังคับให้การว่าแนวรั้วกั้นเขตที่ดินของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ล้ำที่ของโจทก์ เป็นรั้วที่มีมาแต่เดิมเป็นเวลานานไม่น้อยกว่า 30 ปี แม้ศาลชั้นต้นไปเดินเผชิญสืบมาแล้วเห็นว่ารั้วของจำเลยรุกล้ำอยู่ในที่ดินของโจทก์จริง แต่ประเด็นในข้อว่ารั้วนั้นได้ปลูกสร้างมาตั้งแต่เมื่อได้ ยังไม่ได้ความซึ่งถ้าสมดังที่จำเลยต่อสู้ รูปคดีอาจเปลี่ยนแปลงไปได้จึงชอบที่จะให้คู่ความนำสืบในประเด็นดังกล่าวให้สิ้นกระแสความ
การที่ทนายจำเลยแถลงรับว่าหลักเขตที่ดินของโจทก์จำเลยตามแผนที่หลังโฉนดมีอยู่จริงและอยู่ในสภาพเดิมนั้น เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามหน้าที่ของทนายความตามปกติหาใช่เป็นการจำหน่ายสิทธิของจำเลยไม่ คำแถลงดังกล่าวของทนายจำเลยย่อมมีผลเท่ากับจำเลยแถลงด้วยตนเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่ารั้วของจำเลยล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เป็เนื้อที่ ๕/๑๐ ตารางวา ราคา ๒๕๐ บาท ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรื้อรั้วและสิ่งปลูกสร้างออกไป
จำเลยให้การว่า แนวรั้วกั้นเขตที่ดินของจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ล้ำที่ของโจทก์ เป็นรั้วที่มีมาแต่เดิมเป็นเวลานานไม่น้อยกว่า ๓๐ ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบสถานที่พิพาทแล้ว สั่งงดสืบพยานทั้ง ๒ ฝ่าย ฟังข้อเท็จจริงว่ารั้วและโรงเรือของจำเลยระหว่างหลักเขตที่ ๓ กับที่ ๔ นับจากหลักเขตสุดด้านทิศเหนือล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์โดยรั้วของจำเลยล้ำเขตที่ดินโจทก์สมดังฟ้อง พิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วและสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไป
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่า การที่ทนายความของจำเลยแถลงรับว่าหลักเขตที่ดินตามแผนที่หลังโฉนดมีอยู่จริงในสภาพเดิมนั้น เป็นการจำหน่ายสิทธิของจำเลย เพราะจำเลยได้มอบหมายในใบแต่งทนายให้มีอำนาจเพียงดำเนินกระบวนพิจารณากับอุทธรณ์และฎีกาเท่านั้น มิได้มอบหมายให้แถลงรับอะไรจำเลยมิได้รับว่า รั้วของจำเลยลุกล้ำที่ดินของโจทก์ ข้อเท็จจริงยังมิได้พิสูจน์ ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยาน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่ทนายจำเลยรับว่าหลักเขตที่ดินตามแผนที่หลังโฉนดมีอยู่จริงในสภาพเดิม ไม่เป็นกระบวนพิจารณาในทางจำหน่ายสิทธิ แต่การที่จำเลยรับรองหลักเขตที่ดินไม่ได้หมายความว่าจำเลยได้รับว่าจำเลยรุกล้ำที่โจทก์ ทั้งไม่ปรากฎว่า หลักเขตที่ ๓ ที่ ๔ เป็นหลักอะไร อยู่ที่ไหน ข้อเท็จจริงยังเลื่อนลอยอยู่ ควรจะได้มีการสืบพยานกันต่อไป พิพากษาย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายชั้นอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งเมื่อมีคำพิพากษา
โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามข้อเท็จจริงที่ศาลไปดูด้วยตา ไม่จำเป็นต้องสืบพยาน ขอให้กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า การที่ทนายจำเลยแถลงรับว่าหลักหมุดของที่ดินโจทก์จำเลยอยู่ในที่เดิม เป็นการจำหน่ายสิทธิของจำเลยโดยไม่มีอำนาจ จึงไม่ผูกพันจำเลย โจทก์ควรจะต้องรับผิดชอบในค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การรับรองหลักเขต เท่ากับรับว่าเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยอยู่ตรงไหน ถ้าการรังวัดเป็นไปถูกต้อง แม้จำเลยจะไม่รับว่าจำเลยรุกล้ำที่โจทก์ และตามฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลย แม้ศาลชั้นต้นจะไปเผชิญสืบและเห็นว่ารั้วของจำเลยรุกล้ำอยู่ในที่ดินของโจทก์จริง แต่ประเด็นในข้อว่า รั้วจำเลยนั้นได้ปลูกสร้างมาตั้งแต่เมื่อใด ยังไม่ได้ความ ซึ่งถ้าสมดังที่จำเลยต่อสู้ รูปคดีอาจเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ จึงชอบที่จะให้คู่ความ ซึ่งถ้าสมดังที่จำเลยต่อสู้ รูปคดีอาจเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ จึงชอบที่จะให้คู่ความนำสืบในประเด็นดังกล่าวให้สิ้นกระแสความเสียก่อนแล้วจึงพิพากษาไปตามรูปคดี ส่วนข้อฎีกาของจำเลยเห็นว่า การที่ทนายจำเลยแถลงต่อศาลเช่นนั้น เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามหน้าที่ของทนายความตามปกติ หาใช่เป็นการจำหน่ายสิทธิของจำเลยไม่ คำแถลงดังกล่าวของทนายจำเลยย่อมมีผลเท่ากับจำเลยที่ ๒ แถลงด้วยตนเอง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาสั่งเมื่อมีคำพิพากษาก็ชอบแล้ว พิพากษายืน

Share