คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1033/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อำนาจหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในคำพิพากษาฎีกาที่ 950/2491 ว่าเป็นหน่วยอยู่ในราชการบริหาร ไม่มีกรมหรือส่วนราชการใดจัดไว้สำหรับทำการค้า หรือหากำไร ฉะนั้นจึงมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องเรียกหนี้สินที่อยู่ในขอบเขตต์อำนาจและหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น
กระทรวงพาณิชย์เป็นโจทก์ฟ้องเรียกหนี้จากจำเลยโดยอ้างว่าสำนักงานกลางบริษัทจังหวัดเป็นองค์การค้าส่วนหนึ่ง ของกระทรวงพาณิชย์จำเลยเป็นลูกจ้างของสำนักงานกลางบริษัทจังหวัดตำแหน่งหัวหน้ากองการค้าได้รับเงินไปจากสำนักงานกลางบริษัทจังหวัดเป็นเงินทดรองค่าใช้จ่ายในการขนน้ำตาลจากต่างจังหวัดมากรุงเทพฯอันเป็นธุระกิจ ของสำนักงานกลางบริษัทจังหวัดและอยู่ในหน้าที่ของจำเลยเมื่อมีเงินเหลือจำเลยต้องส่งคืนจำเลยมีหน้าที่ต้องส่งเงินที่ขาดอยู่อีกเป็นเงินจำนวนหนึ่งแต่เพิกเฉยเสียจึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้เงินนั้นพร้อมทั้งดอกเบี้ย ดังนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องเรียกเงินที่ได้จ่ายทดรองแก่จำเลยผู้เป็นลูกจ้างคืนมิใช่เป็นเรื่องของการค้าหรือหากำไรกับบุคคลภายนอกโจกท์จึงมีอำนาจฟ้องได้ ส่วนเรื่องฟ้องบุคคลภายนอกตามสัญญาการค้าหรือหากำไรแล้วก็ไม่อยู่ในขอบเขตต์อำนาจและหน้าที่ของกระทรวง พาณิชย์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

คดี ๔ สำนวนนี้กระทรวงพาณิชย์เป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณา เพื่อมีคำสั่งเรื่องอำนาจฟ้องโดยโจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นกระทรวงในรัฐบาล สำนักงานกลางบริษัทจังหวัดเป็นองค์การค้าส่วนหนึ่งของโจทก์ คือกระทรวงพาณิชย์
ในสำนวนแรกฟ้องว่า นายอารีย์จำเลยเป็นลูกจ้างของสำนักงานกลางบริษัทจังหวัด ตำแหน่งหัวหน้ากองค้าได้รับเงินไปจากสำนักงานกลางบริษัทจังหวัด เป็นเงินทดรองค่าใช้จ่ายในการขนน้ำตาลจากต่างจังหวัดมากรุงเทพฯ อันเป็นธุระกิจการค้าของสำนักงานกลางบริษัทจังหวัด และอยู่ในหน้าที่จำเลย โดยมีข้อตกลงประกอบกับมีระเบียบปฏิบัติว่าเมื่อจำเลยใช้จ่ายไปในการขนน้ำตาลเท่าใด จำเลยจะต้องรวบรวมใบสำคัญในการใช้จ่ายส่งหักล้างเงินที่จำเลยรับไป ถ้ามีเงินเหลือต้องนำส่งคืนพร้อมด้วยใบสำคัญ จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งเงินที่ขาดอยู่อีก ๔๖๘๔๕ บาท ๕๗ สตางค์ ใช้แก่สำนักงานกลางบริษัทจังหวัดแต่เพิกเฉยเสีย ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยให้ใช้เงินกับดอกเบี้ย
สำนวนที่ ๒ ฟ้องว่า นายเฉลียวจำเลยได้ขอซื้อไม้ขีดไฟของสำนักงานกลางบริษัทจังหวัด ๑๐๐ หีบราคา ๗๒๐๐๐ บาท แล้วค้างชำระราคา ขอให้ศาลบังคับใช้เงินและดอกเบี้ย
สำนวนที่ ๓ ฟ้องว่า นายเฉลียวจำเลยได้ตกลงทำสัญญารับจ้างขนส่งไม้ขีดไฟของสำนักงานกลางบริษัทจังหวัดกรุงเทพฯไปต่างจังหวัดจำเลย ได้รับเงินทดรองค่าขนไปจากสำนักงานกลางบริษัทจังหวัดหลายครั้ง รวม ๑๕๐๙๖๐ บาท ต่อมาจำเลยส่งใบสำคัญแสดงค่ารับจ้างขนส่งที่ถูกต้องมาหักล้างได้เป็นเงิน ๑๒๙๓๑๒ บาท ยังค้างที่จำเลยอีก ๒๑๖๔๘ บาท ขอให้จำเลยชำระพร้อมทั้งดอกเบี้ย
สำนวนที่ ๔ ฟ้องว่า นายสนั่นจำเลยเป็นผู้ทำการค้าและติดต่อรับจ้างขนส่งในกิจการของสำนักงานกลางบริษัทจังหวัด จำเลยได้รับเงินทดรองค่าขนไม้ขีดไฟของสำนักงานกลางบริษัทจังหวัด ๑๒๐๐๐ บาท แล้วมิได้จัดการขนส่งไม้ขีดไฟตามสัญญา จึงขอบังคับให้จำเลยคืนพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยแต่ละสำนวนต่อสู้หลายประการ และตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแทนสำนักงานกลางบริษัทจังหวัด โดยเหตุโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายสำนักงานกลางบริษัทจังหวัดไม่ใช่หน่วยราชการของโจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้ง ๔ สำนวน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องอ้างฎีกาที่ ๙๕๐/๒๔๙๑ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องทั้ง ๔ สำนวน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อำนาจหน้าที่กระทรวงพาณิชย์นี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในคำพิพากษาฎีกาที่ ๙๕๐/๒๔๙๑ ว่าเป็นหน่วยอยู่ในราชการบริหาร ไม่มีกรมหรือส่วนราชการใดจัดไว้สำหรับทำการค้าหรือหากำไร ฉะนั้นจึงต้องพิจารณาว่าหนี้ที่โจทก์ฟ้องเรียกนี้จะอยู่ในขอบเขตต์อำนาจและหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์หรือไม่
ในสำนวนแรกนั้น คำฟ้องปรากฎว่าโจทก์ฟ้องเรียกเงินที่ได้จ่ายทดรองแก่จำเลยผู้เป็นลูกจ้างคืน จึงมิใช่เรื่องของการค้าหรือหากำไรกับบุคคลภายนอก โจทก์จึงฟ้องจำเลยได้
ส่วนในสำนวนที่ ๒-๓-๔ นั้นเป็นเรื่องฟ้องคนภายนอกตามสัญญาการค้าหรือหากำไร จึงไม่อยู่ในขอบเขตต์อำนาจและหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ตามนัยแห่งคำพิพากษาโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
จึงพิพากษาแก้ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาในสำนวนแรกส่วนสำนวนที่ ๒ฐ ๓, ๔ ให้ยกฟ้อง

Share