คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10322/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง มีความหมายว่า ในกรณีที่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเป็นทรัพย์สินที่ต้องดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นตามกฎหมายอื่น หากการดำเนินการนั้นไม่เป็นผล ก็ให้ดำเนินการกับทรัพย์สินนั้นต่อไปโดยขอให้ตกเป็นของแผ่นดินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ซึ่งการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 ที่บัญญัติให้ประเทศไทยอาจให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศผู้ร้องขอในเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินการริบหรือยึดทรัพย์สิน ตามคำร้องขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ก็เป็นการดำเนินการตามกฎหมายอื่น แม้ผู้ร้องเคยร้องขอให้ยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านตาม พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 ต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่มาก่อน แต่ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำพิพากษาให้ยกคำร้องและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน คดีถึงที่สุด ก็เป็นกรณีที่การดำเนินการตามกฎหมายอื่นไม่เป็นผล ผู้ร้องจึงมีอำนาจร้องขอให้ทรัพย์สินของผู้คัดค้านตกเป็นของแผ่นดินได้โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 58 ดังกล่าว ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจผู้ร้องไว้โดยเฉพาะ ดังนั้น การยื่นคำร้องคดีนี้จึงไม่เป็นร้องซ้ำ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ตามบัญชีทรัพย์สินมูลค่า 10,761,246.64 บาท ของผู้คัดค้าน พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 51
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนและประกาศตามกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ทรัพย์สินตามคำร้องรายการที่ 1 ถึงที่ 6 พร้อมดอกผลตามบัญชีทรัพย์สิน ตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 51 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องและผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่าเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2544 ทางการตำรวจของประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ขอความร่วมมือจากสำนักงาน ป.ป.ส. ให้ร่วมสืบสวนทางการเงินของผู้คัดค้านในฐานะภรรยาของนายอันโตนิอึส ซึ่งศาลเมืองมาสตริกท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2540 ว่า นายสมิทส์มีความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมและฐานลักลอบค้ายาเสพติด จากการตรวจสอบและสืบสวนทางการเงินของนายสมิทส์ กลับไม่ปรากฏว่ามีชื่อนายสมิทส์เป็นเจ้าของทรัพย์สินใด ๆ และหลังจากนายสมิทส์ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2540 แล้ว ปรากฏว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านรวมถึงเงินฝากในธนาคารไม่มีรายการเคลื่อนไหวจำนวนมากเหมือนช่วงก่อนที่นายสมิทส์ถูกจับกุม จากข้อมูลและพยานหลักฐานทางการสืบสวนของสำนักงาน ป.ป.ส. พบว่าผู้คัดค้านมีทรัพย์สินประเภทที่ดิน รถยนต์ และเงินฝากในธนาคารหลายรายการจึงแจ้งข้อมูลให้ทางการตำรวจของประเทศเนเธอร์แลนด์ทราบ พนักงานอัยการของประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลเมืองมาสตริกท์มีคำสั่งริบทรัพย์สินจำนวน 7 รายการของผู้คัดค้าน ไว้ชั่วคราว ต่อมารัฐบาลประเทศเนเธอร์แลนด์ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากประเทศไทยให้ยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านในประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 สำนักงาน ป.ป.ส. เชื่อว่าทรัพย์สินของผู้คัดค้านหลายรายการได้มาจากการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของนายสมิทส์ จึงยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้าน 7 รายการ ได้แก่ 1. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อฮอนด้า หมายเลขทะเบียน ฉ – 2280 เชียงใหม่ 2. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน ช – 7077 เชียงใหม่ 3. รถยนต์กระบะ ยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน 5 ท – 5393 เชียงใหม่ 4. ที่ดินโฉนดเลขที่ 75491 ตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 5. ที่ดินโฉนดเลขที่ 31497 ตำบลสันปูเลย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ 6. ที่ดินโฉนดเลขที่ 40699 ตำบลห้วยทราย อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ 7. เงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาช้างคลาน จังหวัดเชียงใหม่ บัญชีเลขที่ 423-2-08859-3 ต่อมาพนักงานอัยการได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ขอให้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านจำนวน 7 รายการดังกล่าว ตามคำร้องขอความช่วยเหลือของรัฐบาลประเทศเนเธอร์แลนด์ ต่อมาเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2548 ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งตามคดีหมายเลขแดงที่ ม.27/2548 ว่า ข้อเท็จจริงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านมีทั้ง 7 รายการ เป็นทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านได้มาโดยการกระทำความผิดหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของนายสมิทส์ กรณีไม่อาจยึดทรัพย์สินนั้นได้ จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนตามสำเนาคำสั่งและสำเนาคำพิพากษา สำนักงาน ป.ป.ส. เห็นว่า การดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้คัดค้านตามกฎหมายอื่นไม่เป็นผล หากดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทางราชการมากกว่า จึงส่งเรื่องให้สำนักงาน ปปง. พิจารณาดำเนินการ คณะกรรมการธุรกรรมประชุมพิจารณาแล้ว เห็นว่าผู้คัดค้านเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและหรือเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อันเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (1) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งเงินและทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าอาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิดหรือซ่อนเร้นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว จึงมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้คัดค้านจำนวน 6 รายการ ได้แก่ 1. เงินฝากประจำที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาช้างคลาน จังหวัดเชียงใหม่ บัญชีเลขที่ 423-2-08859-3 จำนวนเงิน 8,861,246.64 บาท พร้อมดอกผล 2. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อฮอนด้า หมายเลขทะเบียน ฉ – 2280 เชียงใหม่ ราคาประมาณ 300,000 บาท 3. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน ช – 7077 เชียงใหม่ ราคาประมาณ 200,000 บาท 4. รถยนต์กระบะ ยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน 5 ท – 5393 เชียงใหม่ ราคาประมาณ 100,000 บาท 5. ที่ดินโฉนดเลขที่ 75491 ตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ราคาประมาณ 500,000 บาท 6. ที่ดินโฉนดเลขที่ 40699 ตำบลห้วยทราย อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ราคาประมาณ 200,000 บาท รวมมูลค่า 10,161,246.64 บาท ตามสำเนารายงานการประชุมและสำเนาคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ต่อมาคณะกรรมการธุรกรรมได้ประชุมพิจารณาและมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินของผู้คัดค้านเพิ่มอีก 1 รายการ คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 70326 ตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทาวน์เฮาส์ราคาประมาณ 600,000 บาท ตามสำเนารายงานการประชุมและสำเนาคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินส่งเรื่องให้พนักงานอัยการพิจารณายื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินจำนวน 7 รายการ มูลค่า 10,761,246.64 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน สำหรับทรัพย์สินรายการที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นทรัพย์สินรายการเดียวกับทรัพย์สินในคดีหมายเลขแดงที่ ม.27/2548 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่
มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านข้อแรกว่า ผู้ร้องมีอำนาจร้องขอให้ทรัพย์สินรายการที่ 1 ถึงที่ 6 ตามบัญชีทรัพย์สิน ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่ โดยผู้คัดค้านฎีกาว่า คำร้องคดีนี้เป็นร้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ม.27/2548 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีที่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดใด เป็นทรัพย์สินที่สามารถดำเนินการตามกฎหมายอื่นได้อยู่แล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการกับทรัพย์สินนั้นตามกฎหมายดังกล่าวหรือดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าวแล้วแต่ไม่เป็นผล หรือการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทางราชการมากกว่า ก็ให้ดำเนินการกับทรัพย์สินนั้นต่อไปตามพระราชบัญญัตินี้” บทบัญญัติดังกล่าวมีความหมายว่า ในกรณีที่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเป็นทรัพย์สินที่ต้องดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้น ตามกฎหมายอื่นด้วย หากการดำเนินการนั้นไม่เป็นผล ก็ให้ดำเนินการกับทรัพย์สินนั้นต่อไปโดยขอให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ซึ่งการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 ที่บัญญัติให้ประเทศไทยอาจให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศผู้ร้องขอในเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินการริบหรือยึดทรัพย์สิน ตามคำร้องขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ก็เป็นการดำเนินการตามกฎหมายอื่น ดังนั้น แม้ผู้ร้องเคยร้องขอให้ยึดทรัพย์สินรายการที่ 1 ถึงที่ 6 ตามพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ.2535 ต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่มาก่อน แต่ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำพิพากษาให้ยกคำร้อง ตามคดีหมายเลขแดงที่ ม.27/2548 และศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน คดีถึงที่สุดก็ตาม ก็เป็นกรณีที่การดำเนินการตามกฎหมายอื่นไม่เป็นผล ผู้ร้องจึงมีอำนาจร้องขอให้ทรัพย์สินรายการที่ 1 ถึงที่ 6 ตกเป็นของแผ่นดินได้โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 58 ดังกล่าว ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจผู้ร้องไว้โดยเฉพาะ ดังนั้น การยื่นคำร้องคดีนี้จึงไม่เป็นร้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ผู้ร้องมีอำนาจร้องเป็นคดีนี้ ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ทรัพย์สินรายการที่ 7 และดอกผล ตามบัญชีทรัพย์สิน ตกเป็นของแผ่นดินด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share