คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1032/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175ต้องเป็นกรณีที่จำเลยเอาความเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดทางอาญา และจำเลยต้องมีเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59โดยต้องรู้ว่าความที่นำมาฟ้องนั้นเป็นเท็จ เมื่อการกระทำของโจทก์ทำให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์ถอนต้นยูคาลิปตัสของจำเลย จำเลยย่อมไม่รู้ว่าความที่นำมาฟ้องโจทก์ในข้อหาทำให้เสียทรัพย์นั้นเป็นเท็จการที่จำเลยฟ้องโจทก์โดยมีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นการกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาและไม่มีมูลความผิดฐานฟ้องเท็จและการที่จำเลยฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของจำเลย เมื่อโจทก์ได้เข้าไปในที่ดินของจำเลยจริง ฟ้องดังกล่าวจึงไม่เป็นความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175 ให้จำคุก 6 เดือน แต่จำเลยเป็นหญิง ไม่ปรากฏว่าเคยกระทำผิดมาก่อน จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยโดยรอการลงโทษให้โทษจำคุกจึงให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหามีว่าข้อความที่จำเลยฟ้องกล่าวหาโจทก์ทั้งห้าว่ากระทำผิดข้อหาบุกรุกที่ดินของจำเลยและถอนต้นยูคาลิปตัสของจำเลยปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 12/2530ของศาลชั้นต้นนั้นเป็นความเท็จหรือไม่ สำหรับข้อที่จำเลยฟ้องว่าโจทก์ทั้งห้าบุกรุกที่ดินของจำเลยนั้น จ่าสิบตำรวจสมศักดิ์เอี่ยมพักตร์ โจทก์ที่ 3 และจ่าสิบเอกสมภพ ด้วงหวา โจทก์ที่ 4เบิกความตรงกันว่า โจทก์ทั้งห้าไม่ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของจำเลยแต่นายชัยรัตน์ พรหมบุบผา โจทก์ที่ 1 เบิกความรับว่า โจทก์ทั้งห้าได้เข้าไปในที่ดินของจำเลยจริง แต่เข้าไปโดยมีเหตุอันสมควรร้อยตำรวจตรีศุภลักษณ์ มีศรี โจทก์ที่ 2 เบิกความว่า ไปตรวจที่เกิดเหตุโดยไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบ และนายเลื่อน ทัพทันญ์โจทก์ที่ 5 ก็รับว่าความจริงโจทก์ทั้งห้าได้เข้าไปในที่ดินของจำเลยตัวจำเลยและร้อยตำรวจเอกคำดีสามีเบิกความยืนยันตรงกันว่าโจทก์ทั้งห้าได้บุกรุกเข้ามาในที่ดินของจำเลย พยานโจทก์เจือสมพยานจำเลยรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาที่จำเลยฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งห้าได้เข้าไปในที่ดินของจำเลย การที่จำเลยฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งห้าบุกรุกที่ดินของจำเลยจึงไม่เป็นความเท็จ ปัญหาต่อไปมีว่าที่จำเลยฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งห้าถอนต้นยูคาลิปตัสของจำเลยนั้นเป็นความเท็จหรือไม่ โจทก์ทั้งห้าเบิกความลอย ๆ ว่ามิได้ถอนต้นยูคาลิปตัสของจำเลยและอ้างบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.7 นั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งห้าไปตรวจที่เกิดเหตุเพื่อสืบสวนว่าสามีจำเลยปลูกต้นยูคาลิปตัสบุกรุกทางสาธารณะหรือไม่การไปตรวจที่เกิดเหตุเช่นนี้โดยปกติควรแจ้งให้จำเลยและสามีทราบและการทำบันทึกผลการตรวจที่เกิดเหตุก็น่าจะให้จำเลยและสามีลงลายมือชื่อรับรองว่าไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของจำเลยเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ของโจทก์ทั้งห้า แต่โจทก์ทั้งห้าก็มิได้ดำเนินการเช่นว่านั้น พยานหลักฐานโจทก์ทั้งห้าจึงมีพิรุธตั้งแต่แรก จำเลยนำสืบตัวเองและร้อยตำรวจเอกคำดีสามีเบิกความยืนยันว่า โจทก์ทั้งห้าได้ถอนต้นยูคาลิปตัสของจำเลย สามีจำเลยได้พูดต่อว่าจ่าสิบตำรวจสมศักดิ์ โจทก์ที่ 4 ที่ถอนต้นยูคาลิปตัสของจำเลย โจทก์ที่ 2 เบิกความรับว่าขณะโจทก์ทั้งห้าเดินออกจากที่เกิดเหตุจำเลยก็ได้โวยวาย แต่พยานกับพวกไม่สนใจพยานโจทก์เจือสมพยานจำเลยน่าเชื่อว่า จำเลยร้องโวยวายเพราะโจทก์ทั้งห้าถอนต้นยูคาลิปตัสของจำเลย หลังจากโจทก์ทั้งห้ากลับไปแล้ว จำเลยและสามีก็ได้ไปแจ้งเรื่องนี้ให้นายลำยวน คชฤทธิ์ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ตำบลท้องที่ที่เกิดเหตุทราบทันทีและได้พานายยวนไปตรวจดูสภาพที่เกิดเหตุด้วย และจำเลยมีนายยวนเบิกความสนับสนุนว่าต้นยูคาลิปตัสของจำเลยถูกถอนทิ้งประมาณ 100 ต้นพยานได้บันทึกคำแจ้งความของจำเลยไว้ และจำเลยได้ถ่ายภาพต้นยูคาลิปตัสที่ถูกถอนทิ้งตามภาพเอกสารหมาย ล.7 ต่อมาจำเลยยังได้ทำหนังสือร้องเรียนเรื่องนี้ต่อเจ้าพนักงานป่าไม้จังหวัดกำแพงเพชร และเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2529 คณะเจ้าหน้าที่จากสำนักงานป่าไม้ จังหวัดกำแพงเพชรได้ไปตรวจดูที่เกิดเหตุตามคำร้องเรียนของจำเลยก็ได้พบว่า ต้นยูคาลิปตัสที่จำเลยปลูกไว้นั้นบางต้นตาย บางต้นมีใบร่วง รายละเอียดตามรายงานเอกสารหมาย จ.11พยานโจทก์จำเลยเจือสมกันมีน้ำหนักฟังได้ว่า พฤติการณ์ของโจทก์ทั้งห้าทำให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์ทั้งห้าได้ถอนต้นยูคาลิปตัสของจำเลย การที่จำเลยฟ้องกล่าวหาว่าโจทก์ทั้งห้ากระทำผิดข้อหาทำให้เสียทรัพย์จะเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175 นั้น จะต้องเป็นกรณีจำเลยเอาความเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำความผิดทางอาญา และจำเลยต้องมีเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 ด้วย กล่าวคือ จำเลยต้องรู้ว่าความที่นำมาฟ้องนั้นเป็นเท็จ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของโจทก์ทั้งห้ามีเหตุทำให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์ทั้งห้าถอนต้นยูคาลิปตัสของจำเลยดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว จึงเป็นที่เห็นได้อยู่ในตัวว่าจำเลยไม่รู้ว่าความที่นำมาฟ้องโจทก์ทั้งห้านั้นเป็นเท็จ และเห็นว่าตามรูปเรื่องมีเหตุอันควรเชื่อเช่นนั้น เมื่อจำเลยฟ้องโจทก์ทั้งห้าโดยมีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น การกระทำของจำเลยก็ขาดเจตนาตามกฎหมายและไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share