คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1032/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์แล้ว จำเลยก็มีสิทธิที่จะเบิกเงินไปเป็นคราว ๆ ภายในวงเงินและเวลาที่ตกลงกัน เมื่อจำเลยนำเงินเข้าบัญชีในธนาคาร ๆ ก็นำไปหักจำนวนเงินที่จำเลยเป็นหนี้ตามสัญญากู้ และจำเลยก็อาจถอนเงินไปอีก เพราะสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชียังไม่หมดอายุ แต่ถ้าจำเลยประสงค์จะนำเงินเข้าบัญชีเป็นการชำระหนี้เงินกู้ จำเลยก็ต้องแสดงความจำนงนั้นให้ธนาคารทราบ และจะสั่งจ่ายเงินจำนวนนั้นไปอีกไม่ได้ ถือเป็นวิธีปฏิบัติในการฝากเงินเข้าบัญชีและการเบิกเงินเกินบัญชีตามปกติ ฉะนั้น หากจำเลยยังมีหนี้ค้างชำระในวันครบกำหนดสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอยู่อีก ผู้ค้ำประกันของจำเลยก็ต้องรับผิดในเงินจำนวนนั้น การที่จำเลยนำเงินเข้าบัญชีสั่งจ่ายภายหลังแต่วันครบกำหนดสัญญากู้นั้น หาถือว่าเป็นการชำระหนี้หรือเบิกเงินเกินบัญชีอันจะทำให้ผู้ค้ำประกันพ้นความรับผิดชอบ หรือรับผิดนอกเหนือไปอีกแต่ประการใดไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เปิดบัญชีกระแสรายวันกับธนาคารโจทก์ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๐๐ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ ๕๐,๐๐๐ บาท จะชำระเงินเบิกเกินบัญชีพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้เสร็จภายในวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๐๑ จำเลยที่ ๒,๓ เป็นผู้ค้ำประกัน ตั้งแต่จำเลยที่ ๑ เบิกเงินเกินบัญชีไปแล้ว ไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ครั้งครบกำหนดชำระเงินตามสัญญาโจทก์แจ้งให้จำเลยทั้ง ๓ ชำระ จำเลยก็ไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับชำระพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ทำสัญญากู้เงินเกินบัญชีตามฟ้องจริง เมื่อครบกำหนดชำระจำเลยได้นำเงินฝากเพื่อใช้หนี้รายนี้ ๑๒ ครั้ง เป็นเงิน ๕๗,๑๒๐ บาท ยังขาดจากที่โจทก์ฟ้องเรียก ๑,+๒๙ บาทเท่านั้น และที่ขาดอยู่นี้ก็เกินจากความเป็นจริงเพราะโจทก์คิดดอกเบี้ยผิด
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ จริง หลังจากครบกำหนดชำระหนี้แล้ว จำเลยที่ ๑ ได้นำเงินเข้าบัญชีชำระให้โจทก์หลายครั้ง จำเลยที่ ๒ พ้นความรับผิดในจำนวนเงินที่ชำระไปแล้ว เงินที่ยังค้างอีกเท่าใดจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด เพราะโจทก์ให้จำเลยที่ ๒ เบิกเงินไปหลังจากครบกำหนดตามสัญญาแล้ว เป็นข้อผูกพันของจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ จำเลยที่ ๒ ไม่ยอมรับรู้
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ มีทรัพย์สิน ไม่เป็นการยากที่จะบังคับชำระหนี้
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยเบิกเงินไปจากโจทก์เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๐๐ ซึ่งเป็นการเบิกเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ ๑ ทำไว้นั้น จำเลยที่ ๑ ไม่เคยชำระเงินกู้ที่เบิกเกินบัญชีเลย เงินที่จำเลยที่ ๑ นำเข้าบัญชีภายหลังแต่เบิกเงินเกินบัญชีแล้ว มิใช่เพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี แต่จำเลยนำฝากเพื่อกิจการค้าของจำเลยที่ ๑ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ขำระเงินกู้ที่เบิกเกินบัญชี ๕๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ย หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒,๓ ร่วมชำระแทน
จำเลยที่ ๓ ไม่อุทธรณ์ แต่จำเลยที่ ๑,๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ในวันครบกำหนดชำระหนี้ ( ๑๔ มีนาคม ๒๕๐๑ ) จำเลยที่ ๑ ยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ ๔๙,๘๑๑.๙๙ บาท เงินจำนวน ๕๗,๑๒๐ บาท ที่จำเลยที่ ๑ นำเข้าบัญชีหลังจากครบกำหนดชำระหนี้แล้ว จำเลยที่ ๑ มิได้แสดงความจำนงว่าเพื่อชำระหนี้เงินกู้เลย เมื่อนำเข้าแล้วจำเลยที่ ๑ ก็ถอนไปหมด จะอ้างว่าชำระหนี้ตามสัญญากู้ให้โจทก์เสร็จแล้วหาได้ไม่ แต่จำเลยที่ ๒ มิได้รู้เห็นยินยอมให้ข้อตกลงพิเศษระหว่างจำเลยที่ ๑ กับ โจทก์ เรื่องการนำเงินเข้าบัญชีจะต้องบอกว่าเพื่อชำระหนี้เงินกู้ โจทก์จะยกฟ้องตกลงนี้ขึ้นต่อสู่จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๑ วรรค ๒ จำเลยที่ ๒ ย่อมอ้างได้โดยชอบตามความในวรรค ๑ ว่า เงินจำนวน ๕๗,๑๒๐ บาท ที่จำเลยที่ ๑ นำเข้าบัญชีนั้นหักกลบลบหนี้เสร็จสิ้นแล้ว จำเลยที่ ๒ ย่อมหลุดพ้นความรับผิด พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒
โจทก์ฎีกาให้จำเลยที่ ๒ รับผิด
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๐๑ ซึ่งเป็นวันครบกำหนดสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ธนาคารโจทก์อยู่ ๔๙,๘๑๑.๙๙ บาท หลังจากนี้จำเลยที่ ๑ ได้นำเงินเข้าบัญชีและถอนออกไปอีกเรื่อย ๆ
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่ว่าเงินที่จำเลยที่ ๑ นำเข้าบัญชี ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่แสดงความจำนงว่าเพื่อชำระหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี ถือว่าเป็นเงินฝากเพื่อประโยชน์แก่การค้าของจำเลยที่ ๑ นั้น เป็นวิธีปฏิบัตในการฝากเงินเข้าบัญชี และการเบิกเงินเกินบัญชีตามปกติไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทำความตกลงกันเป็นพิเศษอย่างใด เพราะการกู้เงินเกินบัญชีนั้นผู้กู้อาจยังไม่รับเงินไปในวันทำสัญญากุ้ แต่มีสิทธิที่จะเบิกไปเป็นคราว ๆ ตามจำนวนภายในวงเงินที่ตกลงกันและตามเวลาที่ต้องการ เมื่อผู้กู้นำเงินเข้าบัญชีในธนาคาร ๆ ก็นำไปหักจำนวนเงินที่ผู้กู้เป็นหนี้ธนาคารตามสัญญากู้ เพื่อคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ผู้กู้คงเป็นหนี้ธนาคารอยู่ ดอกเบี้ยทุก ๆ เดือนจึงไม่เท่ากันตลอดมา ถ้าผู้กู้นำเงินเข้าบัญชีเกินจำนวนที่เป็นหนี้ ทางธนาคารก็งดดอกเบี้ย แต่สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชียังไม่หมดอายุ เพราะผู้กู้อาจถอนเงินไปอีก สัญญายังมีผลใช้กันต่อไปจนกว่าจะครบกำหนดสัญญา โดยเหตุนี้ ถ้าจำเลยที่ ๑ จะชำระหนี้เงินกู้ก็ต้องแสดงความจำนงให้ทราบ เมื่อนำเงินเข้าบัญชีชำระแล้วจะสั่งจ่ายอีกไม่ได้ในเงินจำนวนนั้น ฉะนั้น เมื่อจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ ๑ โจทก์ย่อมยกวิธีการที่ว่านี้เป็นข้อต่อสู้จำเลยที่ ๒ ได้ เพราะเป็นการปฏิบัติตามปกติธรรมดา จำเลยที่ ๒ จะอ้างว่ามิได้รู้เห็นด้วยหาได้ไม่ และกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๑ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อครบกำหนดสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแล้ว โจทก์ยังคงปฏิบัติกับจำเลยที่ ๑ เช่นเดียวกับในอายุสัญญา โจทก์ก็จะถือว่าการปฏิบัตินั้นมีผลผูกพันถึงจำเลยที่ ๒ ด้วยหาได้ไม่ และจำเลยที่ ๒ ก็๋อ้างไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้นำเงินเข้าบัญชีต่อมาหลายคราว เป็นการใช้หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเสร็จสิ้นแล้วเช่นเดียวกัน เพราะจำเลยที่ ๑ ได้ถอนเงินที่นำเข้าบัญชีนั้นออกไปอีกเรื่อย ๆ ยังไม่ได้มีการชำระหนี้กันเด็ดขาดอย่างใด จำเลยที่ ๒ จึงยังคงต้องรับผิดชอบสำหรับหนี้ของจำเลยที่ ๑ ที่ค้างชำระในวันครบกำหนดสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน.

Share