คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1022/2482

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ชายลักพาหญิงอายุ 18 ปีซึ่งมีผู้ปกครองไปอยู่กินด้วยกันอย่างสามีภรรยา มิได้มีการไป+มาและมิได้จดทะเบียนสมรสดังนี้ ไม่เป็นสามีภรรยากันได้ตามกฎหมายแพ่ง จำเลยต้องหาเป็นความอาญาว่าฉุดคร่าอนาจารหญิง จำเลยต่อสู้ว่าหญิงเป็นภรรยาตน การวินิจฉัยว่าเป็นภรรยาจำเลยหรือไม่นี้ต้องถือหลักตามกฎหมายแพ่งฯเพราะในทางอาญาไม่มีบัญญัติไว้
ในความผิดฐานฉุดคร่าอนาจารตามกฎหมายอาญามาตรา 276 นั้น แม้หญิงผู้เสียหายจะมิได้เป็นภรรยาจำเลยตามกำหมาย แต่ถ้าจำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นสามีหญิงและได้ฉุดคร่าไปเพื่ออยู่กินด้วยกันตามเดิม ดังนี้ เรียกว่าจำเลยไม่มีเจตนาในทางอาญา หรืออีกนัยหนึ่งคือการบังอาจตามมาตรา 276 จำเลยยังไม่มีผิดตามมาตรานี้ ความผิดฐานฉุดคร่าอนาจารตามกฎหมายอาญามาตรา 276 ปัญหาว่าจำเลยมีเจตนาในทางอาญาหรือได้บังอาจหรือไม่นั้น ตกหน้าที่โจทก์นำสืบ
ฎีกาว่าศาลล่างไม่ตีความตามข้อเท็จจริง ปรับรูปกฎหมายโดยเคร่งครัดและว่าศาลล่างไม่เพ่งเล็งการกระทำของจำเลยว่ามีเจตนาหรือไม่นั้นเป็นฎีกาในข้อกฎหมาย

ย่อยาว

คู่ความรับกันว่า จำเลยกับสตรีภาพได้เสียอยู่กินด้วยกันอย่างผัวเมียก่อนเกิดเหตุเดือนเศษ แล้วหนีจำเลยไป จำเลยติดตามไปพบจึงเข้าฉุดค่าและทำร้ายผู้เสียหายไม่ถึงบาดเจ็บ และจำเลยรับว่าผู้เสียหายมีอายุ ๑๘ ปี มีผู้ปกครอง จำเลยลักพามาโดยไม่ได้ษะมา และมิได้จดทะเบียนการสมรส คู่ความต่างไม่สืบพะยาน
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยกับผู้เสียหายไม่เป็นผัวเมียกันตามกฎหมาย ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่ามีอำนาจทำได้เพราะผู้เสียหายเป็นภรรยาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษารวมกะทงลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖,๓๓๘
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาเห็นว่าฎีกาจำเลยมีข้อกฎหมายว่า ศาลล่างไม่ตีความตามข้อเท็จจริง ปรับรูปกฎหมายโดยเคร่งครัด กับว่า ไม่เพ่งเล็งการกระทำของจำเลยว่ามีเจตนาหรือไม่สำหรับในข้อแรกเห็นด้วยกับศาลล่างว่าจำเลยกับสตรีภาพมิได้เป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จะวินิจฉัยว่าเป็นสามีภรรยากันหรือไม่ก็ต้องยกกฎหมายแพ่งฯ ขึ้นปรับเพราะไม่มีบัญญัติในกฎหมายอาญา สำหรับฎีกาข้อหลัง เห็นว่าคำให้การของจำเลยก็ดีอุทธรณ์หรือฎีกาก็ดี จำเลยยกข้อต่อสู้ว่าไม่ได้กระทำผิด หรือนัยหนึ่งว่า การกระทำของจำเลยขาดเจตนาในทางอาญา ข้อต่อสู้นี้ศาลล่างไม่ได้วินิจฉัยถึงเลย วินิจฉัยแต่ข้อว่าจำเลยเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เท่านั้นจำเลยจะมีผิดฐานฉุดคร่าและทำร้างร่างกายนั้นจะต้องปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาในทางอาญา ฉะเพาะข้อหาฐานทำร้ายร่างกายนั้นเห็นว่าจำเลยมีผิดเพราะปรากฎว่าจำเลยมีพวกสมคบ+ย่อม เป็นการบังอาจมีเจตนาอยู่ในตัว จำเลยจะเป็นสามีผู้เสียหายหรือไม่ก็ไม่พ้นผิดไปได้ แต่ในข้อฉุดคร่านั้น แม้จำเลยจะมิได้เป็นสามีผู้เสียหายโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ความเข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นสามีนั้น เป็นข้อลบล้างในกรณีฉุดคร่าว่าจำเลยไม่มีเจรนาในทางอาญา
หรืออีกนัยหนึ่งขาดการบังอาจ ข้อเท็จจริงเท่าที่รับกันมาก็เป็นการสนับสนุนว่าจำเลยเข้าใจโดยสุจริต และโจทก์มีหน้าที่นำสืบความข้อนี้เมื่อโจทกืไม่สืบแล้ว ก็ลงโทษจำเลยฐานนี้ไม่ได้ จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ในฐานฉุดคร่าเสีย คงลงโทษแต่ฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงบาดเจ็บตามมาตรา ๓๓๘ ข้อ ๓ กะทงเดียว คดีเป็นลหุโทษเพิ่มโทษไม่ได้ เมื่อลดโทษตามมาตรา ๕๙ แล้วให้ปรับจำเลย ๒ บาท

Share