แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
วันที่ 27 กรกฎาคม 2530 ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2530 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2530 ว่า อนุญาตให้ขยายได้ 7 วัน นับแต่วันสุดท้ายดังนี้ แม้จะถือไม่ได้ว่าโจทก์ทราบคำสั่ง แต่ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องขวนขวายติดตามทราบคำสั่งศาลว่าอนุญาตให้ขยายเวลาหรือไม่เพียงใดก่อนครบกำหนดยื่นฎีกา โจทก์กลับเพิกเฉย เพิ่งนำฎีกามายื่นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2530 และไม่ใช่กรณีมีเหตุสุดวิสัย เป็นการยื่นเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาต การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับพิจารณาให้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาขายข้าวสารให้แก่จำเลย แต่โจทก์ไม่สามารถส่งข้าวสารให้จำเลยได้เพราะเหตุสุดวิสัย จำเลยกลับบอกเลิกสัญญาและริบเงินประกัน ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินประกันแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เหตุที่โจทก์อ้างไม่ใช่เหตุสุดวิสัย โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยจึงมีสิทธิริบเงินประกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๐ ครบกำหนดยื่นฎีกาวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๓๐ ทนายโจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๓๐ ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปอีก ๑๕ วัน นับแต่วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๓๐ ถึงวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๓๐ โดยได้หมายเหตุในคำร้องว่า ผู้ร้อง (โจทก์) รอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว โดยได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องมายื่น แต่ไม่ได้มอบฉันทะให้ฟังคำสั่งศาลด้วย ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องในวันรุ่งขึ้น อนุญาตให้ขยายได้ ๗ วัน นับแต่วันสุดท้าย (วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๓๐) ซึ่งครบกำหนดในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๓๐ แม้จะยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องขวนขวายติดตามทราบคำสั่งศาลว่าจะอนุญาตให้ขยายเวลาตามคำร้องหรือไม่เพียงใดก่อนที่จะครบกำหนดฎีกา โจทก์กลับเพิกเฉย เพิ่มนำฎีกามายื่นในวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๐ และไม่ใช่กรณีมีเหตุสุดวิสัย เป็นการยื่นเลยกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาต แม้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้รับฎีกาโจทก์ ก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับพิจารณาให้
พิพากษายกฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้โจทก์ ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ