แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ไม่พอใจผู้เช่าเคหะของโจทก์ ได้เพียรพยายามจะให้ออกไปจากห้องเช่าทุกวิถีทางก็ไม่สำเร็จ จึงใช้วิธีขายเฉพาะตัวห้องพิพาทให้จำเลย โดยตกลงกันให้จำเลยรื้อห้องพิพาทไป ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่า ผู้เช่าก็ยังเช่าอยู่ เช่นนี้ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและเป็นการตกลงที่ทำให้โจทก์ผู้ให้เช่าหลุดพ้นจากหน้าที่หรือภาระซึ่งมีอยู่ตามสัญญาเช่า คือถ้าต้องรื้อห้องไป หน้าที่หรือภาระที่ห้องจะต้องปลูกอยู่ในที่ดินตรงนั้นก็หลุดพ้นไป คือ โจทก์เอาที่ดินตรงนั้นไปทำประโยชน์อื่นได้ การตกลงเช่นนี้ เป็นการตกลงขัดกับ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ พ.ศ. 2498 มาตรา 11 (3) ข้อตกลงซื้อขายเฉพาะเพื่อให้รื้อถอนไป จึงตกเป็นโมฆะ โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนห้องพิพาทไปมิได้(คดีนี้ ผู้เช่าร้องสอดเข้าเป็นจำเลย)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อเคหะของโจทก์ไป ๑ หลัง เมื่อซื้อแล้วจำเลยผิดสัญญามิได้รื้อถอนเคหะนี้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า ได้ตกลงเช่าที่ดินกับโจทก์แล้ว
นางสาวเผ่าประดับวงศ์ ได้ร้องสอดเข้ามาว่าเป็นผู้เช่าเคหะที่โจทก์ฟ้องใช้เป็นที่อยู่อาศัย โจทก์จำเลยสมยอมกันทำนิติกรรมซื้อขาย เพื่อจะเอาผลของคำพิพากษามาใช้บังคับผู้ร้อง จึงขอเข้ามาในคดี ต่อสู่คดีกับโจทก์ด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์, ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
ศาลฎีกา เห็นว่า ฎีกาข้อ ๑ ของโจทก์ที่ว่าศาลอุทธรณ์จะยกเอา พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๑๑(๓) มาปรับในคดีนี้ไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น วินิจฉัยถึงการที่โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายเคหะพิพาทกัน ซึ่งโจทก์เป็นผู้ให้เช่าอยู่ก่อน คือวินิจฉัยว่า การตกลงที่ทำให้ผู้ให้เช่า คือโจทก์หลุดพ้นจากหน้าที่หรือภาระซึ่งมีอยู่ตามสัญญาเช่า ซึ่งผู้ร้องเช่าโจทก์อยู่ เช่นนี้ เป็นการตกลงขัดกับกฎหมาย ดังนี้ ต่างหาก
และที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า การกระทำของโจทก์จำเลยรายนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวก็มีคำพยานหลักฐานสนับสนุน หาใช่เป็นการนอกสำนวนไม่
ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน