แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นตำรวจประจำการได้สมคบกับพวกแกล้งกล่าวหาว่าเขาทำผิดกฎหมาย แล้วนำตัวเขาไปเพื่อดำเนินคดีระหว่างทางเขายอมให้เงิน 60 บาท แก่พวกจำเลยตามคำเรียกร้องของจำเลยกับพวก แล้วจำเลยก็ปล่อยเขากลับบ้านได้ ดังนี้จะถือได้ว่าจำเลยกับพวกใช้กำลังทำร้ายหรือขู่เข็ญจะทำหร้ายอันจะปรับบทเป็นความผิด ฐานชิงทรัพย์ไม่ได้ แต่อาจเป็นความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 136 ได้
ฟ้องบรรยายว่า จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่ง สมคบกันให้ใช้วาจาขู่เข็ญผู้เสียหายว่า จะจับกุมเพราะไม่เสียภาษีและไม่ออกใบรับเงินปิดอากรแสตมป์ โดยประสงค์จะเรียกร้องบังคับเอาเงินเป็นผลประโยชน์รายได้ อันมิควรจะได้ตามกฎหมาย ผู้เสียหายได้ถูกจับกุมไป ระหว่างทางมีความกลัวจึงให้เงินแก่พวกจำเลย เพื่อ+++จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานี…ฯลฯ ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 136, 298 ดังนี้ พอถือได้ว่าเป็นฟ้องที่มีข้อหาในฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตด้วย ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 136 ได้
สำหรับผู้ทีมิได้เป็นเจ้าพนักงานนั้น ถ้าได้สมคบกับเจ้าพนักงานกระทำผิดตามมาตรา 136 แล้ว ก็มีโทษตามมาตรา 136 ได้ แต่ผิดเพียงฐานสมรู้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและขอแก้ว่า ระหว่างวันที่ ๑ – ๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๔ เวลากลางคืน จำเลยทั้งสองกับพวกอีกคนหนึ่ง สมคบกันใช้วาจาขู่เข็ญนางไล้ว่า จะจับกุม เพราะไม่เสียภาษี และไม่ออกใบรับเงินปิดอากรแสตมป์ โดยประสงค์จะเรียกร้องบังคับเอาเงินเป็นผลประโยชน์รายได้ อันมิควรจะได้ตามกฎหมาย นางไล้ได้ถูกจำเลยจักกุมตัวไป และในระหว่างทางนางไล้มีความกลัว จึงให้เงินแก่พวกของจำเลยไป ๖๐ บาท เพื่อให้จำเลยปล่อยตัว การกระทำของจำเลยกับพวกทั้งนี้ เพื่อที่จะให้นางไล้ส่งทรัพย์ให้แก่จำเลย และให้เป็นความสดวกแก่การที่จะเอาทรัพย์นั้นด้วย พลตำรวจศิลปชัยจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอแพ้ว จังหวัดสุมทรสาคร เหตุเกิดที่ตำบลหลักสาม และตำบลดอกไผ่ จังหวัดสมุทรสาคร ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๓๖, ๑๓๗, ๒๙๘, และ ๖๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า พลตำรวจศิลปชัยจำเลยมีความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๓๖ และ ๒๙๙ แต่โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๒๙๘ และ ๑๓๖ จึงให้ลงโทษตามมาตรา ๑๓๖ ซึ่งเป็นบทหนักมีกำหนด ๒ ปี นายประพันธ์จำเลยมิใช่เจ้าพนักงาน คงมีผิดตามมาตรา ๒๙๘ ฐานเดียว ให้จำคุก ๒ ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยหาได้ใช้กำลังทำร้ายหรือขู่เข็ญจะทำร้ายไม่ การที่นางไล้ได้ให้เงิน ๖๐ บาท ไป ก็มิใช่เพระเหตุที่กลัวเกรงการจับกกุม แต่หากเสียอ้อนวอนผู้อื่นไม่ได้ จึงลงโทษฐานชิงทรัพย์ไม่ได้ ส่วนความผิดตามมาตรา ๑๓๖ นั้น โจทก์มิได้บรรยายไว้เพียงพอ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแรึกษาคดีนี้ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยกับชายอีกคนหนึ่งสมคบกันกล่าวหาว่า นางไล้ทำผิดกฎหมาย แล้วนำตัวนางไล้ไปเพื่อดำเนินคดี ระหว่างทางนางไล้ได้ยอมให้เงิน ๖๐ บาท แก่พวกจำเลยตามคำเรียกร้องของจำเลยกับพวกแล้ว จึงกลับบ้านได้ พฤติการณ์เช่นนี้ จักถือว่าจำเลยกับพวกใช้กำลังทำร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะทำร้าย อันจะปรับบทเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ไม่ได้ แต่จะเป็นความผิดตามมาตรา ๑๓๖ หรือไม่นั้น ตามฟ้องของโจทก์ข้างต้น บรรยายข้อความเฉพาะที่เกี่ยวแก่พลตำรวจศิลปชัย จำเลยพอถือได้ว่า มีข้อหาในฐานเป็นเจ้าพนักงาน ใช้อำนาจในดำแหน่งหน้าที่โดยทางทุจริตด้วย จึงชอบที่จะลงโทษพลตำรวจศิลปชัย จำเลยในฐานนี้ได้ ส่วนนายประพันธ์จำเลยแม้มิได้เป็นเจ้าพนักงาน เมื่อฟังว่าได้สมคบกับพลตำรวจศิลปชัยจำเลยก็ย่อมลงโทษฐานเป็นผู้สมรู้ตามมาตรา ๑๓๖ ได้
จึงพิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามกฎหมายดั่งกล่าวแล้ว ให้จำคุกพลตำรวจศิลปชัยจำเลย ๑ ปี นายประพันธ์จำเลย ๘ เดือน