คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1027/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืน พาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนดังกล่าวกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องไปถึงความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลยได้ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน แม้ว่าความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจะยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีอาวุธปืนคนละ ๑ กระบอก ไม่มีเครื่องหมายเลขทะเบียนพร้อมด้วยกระสุนปืนจำนวนหนึ่ง จำเลยทั้งสองพาอาวุธปืนดังกล่าวไปตามทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยทั้งสองโดยมีอาวุธปืนดังกล่าวได้ร่วมกับพวกที่หลบหนีอีกหนึ่งคนทำการปล้นทรัพย์ นางสุวินและนายไล่เซ็งผู้เสียหายทั้งสองโดยใช้อาวุธปืนดังกล่าวและมีดดาบบังคับขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสอง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ตรีและพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ ๒ ปี ฐานพาอาวุธปืนฯจำคุกคนละ ๑ ปี ฐานปล้นทรัพย์จำคุกคนละ ๒๑ ปี รวมจำคุกคนละ ๒๔ ปีริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอรับฟังว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์ผู้เสียหายดังฟ้อง และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ในคดีนี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนของจำเลยทั้งสองที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยต้องห้ามมิให้จำเลยทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๕ เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทุกข้อหา ของกลางริบ.

Share