คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9912/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยทั้งสองเป็นสมาชิกของขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนผู้ตายเป็นผู้หาข่าวความเคลื่อนไหวของขบวนการดังกล่าวให้แก่ทางราชการ ในวันเกิดเหตุผู้ตายขับรถจักรยานยนต์กลับจากทำละหมาดจะไปยังบ้านพัก จำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์ตามสะกดรอยไปจนถึงบ้านพักของผู้ตาย แล้วร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย เมื่อภริยาของผู้ตายได้ยินเสียงปืนได้ออกมาดูแลถามจำเลยที่ 2 ว่าเหตุใดจึงยิงผู้ตาย จำเลยที่ 2 ขู่ภริยาของผู้ตายให้อยู่เฉย ๆ พร้อมกับจ้องปืนเล็งไปที่ภริยาของผู้ตาย โดยไม่ได้แสดงพฤติการณ์ให้เห็นว่าเป็นการสร้างความวุ่นวายและความไม่สงบให้เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายตาม ป.อ. มาตรา 135/1 (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91, 135/1, 135/2, 135/3, 288, 289, 340, 340 ตรี, 371, 83, 32, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาอาวุธปืนที่จำเลยทั้งสองกับพวกปล้นไปเป็นเงิน 45,000 บาท แก่ทายาทของผู้ตาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) วรรคแรก, 289 (4), 335 (7) วรรคแรก, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยมีอาวุธปืน (ที่ถูก โดยมีอาวุธ) จำคุกคนละ 3 ปี ฐานร่วมกันก่อการร้าย จำคุกคนละ 9 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 1 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) ลดโทษให้หนึ่งในสาม ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืนติดตัวโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกกระทงละ 8 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิตสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ส่วนจำเลยที่ 2 เมื่อลงโทษประหารชีวิตในความผิดกระทงแรกแล้ว ก็ไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดกระทงอื่นของจำเลยที่ 2 มารวมอีกได้ ริบของกลาง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาอาวุธปืนสั้นรีวอลเวอร์ ขนาด .38 เครื่องหมายทะเบียน นม 6/12698 จำนวน 1 กระบอก เป็นเงิน 45,000 บาท แก่ทายาทของผู้ตาย ส่วนข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายด้วยเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมุ่งหมายให้เกิดความไม่สงบและความวุ่นวายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างความปั่นป่วนและเกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน และลักอาวุธปืนพกของผู้ตายไปโดยมีหรือใช้อาวุธตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ได้ความจากพันตำรวจโทกัมพล พนักงานสอบสวนว่า ภายหลังเกิดเหตุพยานเดินทางไปยังที่เกิดเหตุพบศพของผู้ตายอยู่ห่างจากบ้านของผู้ตายเพียง 5 เมตร เท่านั้น ขณะเกิดเหตุนางสาวเจะมีเนาะภริยาของผู้ตายอยู่ในบ้าน แม้จะได้ความว่าขณะที่เสียงปืนดังขึ้นนางสาวเจะมีเนาะกำลังซักผ้าอยู่ในห้องน้ำไม่เห็นว่าคนร้ายอยู่ที่ใดก็ตาม แต่นางสาวเจะมีเนาะเบิกความว่า เมื่อได้ยินเสียงปืนสองนัดแรกดังขึ้นพยานได้ออกไปที่หน้าบ้านทันทีและเห็นจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนพกยิงผู้ตายซ้ำอีกสองนัด ขณะนั้นจำเลยที่ 2 อยู่ห่างจากพยานเพียง 5 เมตร อันเป็นระยะใกล้ชิด ส่วนจำเลยที่ 1 นั่งคร่อมรถจักรยานยนต์อยู่ไม่ห่างจากจำเลยที่ 2 มากนัก พยานร้องถามจำเลยที่ 2 ว่าเหตุใดจึงยิงผู้ตาย จำเลยที่ 2 ยกอาวุธปืนพกจ้องเล็งมาทางพยานและขู่ให้อยู่เฉย ๆ ต่อจากนั้นจำเลยที่ 2 หยิบอาวุธปืนพกแบบลูกโม่ของผู้ตายแล้วเดินไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 แล่นหลบหนีไป ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า นางสาวเจะมีเนาะอาจจดจำคนร้ายไม่ได้ ก็ได้ความว่านางสาวเจะมีเนาะเห็นจำเลยทั้งสองในระยะใกล้ชิด รวมทั้งได้สอบถามจำเลยที่ 2 ถึงสาเหตุที่จำเลยที่ 2 ยิงผู้ตาย จำเลยที่ 2 พูดจาข่มขู่นางสาวเจะมีเนาะและสำทับให้นางสาวเจะมีเนาะอยู่เฉย ๆ แล้วหยิบเอาอาวุธปืนพกแบบลูกโม่ของผู้ตายติดตัวไปด้วย ซึ่งเป็นเวลานานพอที่นางสาวเจะมีเนาะจะจดจำจำเลยที่ 2 ได้ ส่วนจำเลยที่ 1 มีบ้านพักอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับบ้านพักของผู้ตาย ทั้งได้ความว่านางสาวเจะมีเนาะรู้จักจำเลยที่ 1 อยู่ก่อนแล้ว จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่านางสาวเจะมีเนาะจะจำจำเลยทั้งสองไม่ได้ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ในวันเกิดเหตุเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจสอบถามนางสาวเจะมีเนาะถึงคนร้าย นางสาวเจะมีเนาะบอกว่าไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใครก็ไม่เป็นข้อพิรุธตามที่จำเลยทั้งสองฎีกา เพราะได้ความว่าหลังจากเกิดเหตุแล้วนางสาวเจะมีเนาะมีความเกรงกลัวคนร้ายจนไม่สามารถพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังที่เกิดเหตุได้ต้องอพยพไปพักอาศัยอยู่กับผู้อื่น ดังนั้น การที่นางสาวเจะมีเนาะไม่แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายและไม่บอกรูปพรรณสัณฐานของจำเลยที่ 2 ให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบไม่เป็นเหตุผลให้ระแวงว่านางสาวเจะมีเนาะจำคนร้ายไม่ได้ ส่วนสาเหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจได้ตัวจำเลยทั้งสองมาดำเนินคดี ข้อเท็จจริงได้ความว่าหลังจากเกิดเหตุประมาณสามเดือนพันตำรวจโทกัมพลกับข้าราชการทหารฝ่ายการข่าวหน่วยเฉพาะกิจยะลาสืบสวนได้ความว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายที่ร่วมกันฆ่าผู้ตาย เนื่องจากจำเลยทั้งสองเป็นสมาชิกของขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนผู้ตายเป็นผู้หาข่าวความเคลื่อนไหวของขบวนการดังกล่าวให้แก่ทางราชการ พันตำรวจโทกัมพลจึงให้นางสาวเจะมีเนาะดูรูปถ่ายของจำเลยทั้งสองซึ่งปะปนกับรูปถ่ายของผู้อื่น นางสาวเจะมีเนาะชี้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 ไปดำเนินคดี ส่วนจำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวต่อสู้คดี ในชั้นสอบสวนนางสาวเจะมีเนาะยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้าย หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนส่งตัวจำเลยที่ 1 ไปให้ร้อยเอกพิศาล นายทหารฝ่ายการข่าวหน่วยเฉพาะกิจยะลาซักถาม จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่าร่วมกับจำเลยที่ 2 ฆ่าผู้ตายจริงและยอมรับว่าจำเลยที่ 1 กับพวกซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องเคยก่อเหตุวางระเบิดทหารเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2550 เป็นเหตุให้ทหารได้รับบาดเจ็บ 8 คน ต่อจากนั้นพันตำรวจโทกัมพลรับตัวจำเลยที่ 1 ไปสอบสวนในข้อหาร่วมกับจำเลยที่ 2 มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้พาอาวุธปืนติดตัว ร่วมกันปล้นทรัพย์และฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและร่วมกันก่อการร้าย โดยมีนายกรจักร ทนายความร่วมฟังการสอบสวนด้วย จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจ โดยกล่าวถึงพฤติการณ์ในการกระทำความผิดรวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งได้นำชี้ที่เกิดเหตุแสดงลักษณะแห่งการกระทำความผิดประกอบคำให้การรับสารภาพ ซึ่งเป็นรายละเอียดที่อยู่ในความรู้เห็นของจำเลยที่ 1 เองทั้งสิ้น หากจำเลยที่ 1 ไม่ให้การต่อพนักงานสอบสวนเองแล้ว ย่อมเป็นการยากที่พนักงานสอบสวนจะปรุงแต่งเรื่องราวขึ้นเองได้ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ถูกทำร้ายร่างกายและถูกบังคับขู่เข็ญให้ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ข้อเท็จจริงได้ความจากนายกรจักรทนายความที่ร่วมรับฟังการสอบสวนว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือให้สัญญาใด ๆ แก่จำเลยที่ 1 เลย คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 จึงใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลยที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/4 (1) เมื่อนำมารับฟังประกอบกับคำเบิกความของนางสาวเจะมีเนาะที่ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว และร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยเจตนา ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับฟังแต่คำเบิกความของนางสาวเจะมีเนาะ แต่ไม่รับฟังคำเบิกความของพยานจำเลยที่ 1 เลยเป็นการไม่ชอบด้วยเหตุผลนั้น เห็นว่า การรับฟังคำเบิกความของพยานปากใดย่อมขึ้นอยู่กับเหตุผลในคำเบิกความของพยานเป็นสำคัญ หาได้คำนึงว่าต้องเป็นพยานบุคคลของฝ่ายใดดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รับฟังคำเบิกความของนางสาวเจะมีเนาะจึงชอบแล้ว ส่วนความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและพาอาวุธปืนนั้น เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้อาวุธปืนที่จำเลยทั้งสองใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง ทั้งทางนำสืบของโจทก์ไม่ได้ความว่าอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวเป็นอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียน ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืนมีหมายเลขทะเบียนของผู้อื่นไปโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนปัญหาว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เมื่อพิเคราะห์ว่า การที่จำเลยทั้งสองนั่งรถจักรยานยนต์ตามสะกดรอยผู้ตายไปจนถึงบ้านพักแล้วร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองคบคิดและเตรียมการที่จะฆ่าผู้ตายไว้ก่อนแล้ว เมื่อสบโอกาสเหมาะจำเลยที่ 2 จึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้วหยิบฉวยเอาอาวุธปืนพกแบบลูกโม่ของผู้ตายไปเป็นประโยชน์ส่วนตน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและลักทรัพย์ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามา แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยมุ่งหมายให้เกิดความวุ่นวายและความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากนางสาวเจะมีเนาะว่า หลังจากที่จำเลยที่ 2 ยิงผู้ตายแล้ว พยานถามจำเลยที่ 2 ว่าเหตุใดจึงยิงผู้ตาย จำเลยที่ 2 ขู่พยานว่า อยู่เฉย ๆ พร้อมกับเล็งปากกระบอกปืนไปที่พยาน โดยไม่ได้แสดงพฤติการณ์ให้เห็นว่าเป็นการสร้างความวุ่นวายและความไม่สงบให้เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัย ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้น อนึ่ง การที่โจทก์บรรยายฟ้องโดยระบุถ้อยคำที่จำเลยที่ 2 กล่าวเป็นภาษายาวี ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยมีความหมายเป็นการข่มขู่ คุกคามให้ประชาชนหวาดกลัว โดยมุ่งหมายให้เกิดความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 กล่าวข้อความดังกล่าวเป็นเรื่องที่ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาไม่ได้ความตามที่โจทก์ฟ้อง ไม่เป็นเหตุให้ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกา ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจต่อสู้คดี ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงาน อันเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ศาลฎีกาเห็นสมควรลดโทษให้จำเลยที่ 2 กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1)
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กระทงละหนึ่งในสาม ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยมีอาวุธ จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ยกฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share