แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยสำแดงรายการสินค้าขาออกต่อกรมศุลกากรเป็นเท็จแล้วต่อมาอีก 2 วัน จำเลยพยายามนำสินค้านั้นจะออกนอกราชอาณาจักรแต่ตำรวจจับได้เสียก่อน เช่นนี้ แม้การกระทำทั้งสองฐานนี้จะเกี่ยวเนื่องกัน คือ จำเลยสำแดงรายการสินค้าเท็จ ก็เพื่อจะลักลอบนำสินค้าออกนอกราชอาณาจักรก็ตาม ก็เป็นการกระทำผิดคนละอย่างต่างกรรมต่างวาระกัน เพราะเมื่อจำเลยสำแดงรายการสินค้าขาออกเท็จนั้น เป็นความผิดสำเร็จไปตอนหนึ่งแล้ว ต่อมาอีก 2 วันทำผิดฐานพยายามนำสินค้าจะออกนอกราชอาณาจักรจึงเป็นความผิดอีกฐานหนึ่ง (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2504)
ย่อยาว
ข้อเท็จจริงได้ความตามที่คู่ความรับกันว่า เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2498 จำเลยถูกจับฐานสมคบกันนำรำข้าวหนัก 102,400 กิโลกรัม ราคา 56,320 บาท อันเป็นของต้องห้าม ต้องจำกัดมิให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรโดยปนกับกากมะพร้าวใส่กระสอบขึ้นบรรทุกเรือเดินทะเล เพื่อส่งออกไปเมืองสิงคโปร์ แต่ตำรวจเข้าจับกุมเสียก่อนพนักงานสอบสวนตั้งข้อหาจำเลย 2 ฐาน คือ ฐานลักลอบนำรำข้าวออกนอกราชอาณาจักร และฐานสำแดงรายการสินค้าในใบขนสินค้า (รายเดียวกับฐานแรก) เป็นเท็จ ต่อมาพนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้องจำเลยในข้อหาฐานลักลอบนำรำข้าวออกนอกราชอาณาจักร ส่วนข้อหาฐานสำแดงรายการสินค้าในใบขนสินค้าเป็นเท็จ มีหลักฐาน แต่อยู่ในอำนาจของกรมศุลกากรเปรียบเทียบได้ ซึ่งกรมศุลกากรเปรียบเทียบปรับจำเลยแล้ว50,000 บาท ของกลางคืนให้เจ้าของทั้งหมด
ต่อมาพนักงานอัยการตรวจสำนวนแล้วสั่งฟ้องจำเลยฐานนำรำข้าวออกนอกราชอาณาจักร
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีนี้โจทก์แถลงไม่สืบพยานโจทก์แสดงไม่ได้ว่าการสำแดงรายการเท็จกับพยายามขนสินค้าต้องห้ามออกนอกประเทศเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกัน จึงต้องถือว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่เป็นความผิดหลายบท เมื่ออธิบดีกรมศุลกากรเปรียบเทียบปรับจำเลยไปแล้วก็เป็นอันคุ้มจำเลยไม่ต้องถูกฟ้องร้องในความผิดฐานพยายามนำสินค้าต้องห้ามออกนอกประเทศต่อไปพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยให้การรับแล้วว่า จำเลยสำแดงรายการสินค้าเท็จ ตามใบขนลงวันที่ 9 มิถุนายน 2498 และโจทก์ฟ้องว่าจำเลยพยายามนำรำข้าวออกนอกราชอาณาจักร วันที่ 11 มิถุนายน 2498 ฉะนั้นข้อเท็จจริงจึงชัดว่าความผิดทั้งสองฐานห่างกันถึง 2 วัน จึงเป็นความผิดหลายกระทงต่างกรรมต่างวาระกัน ขอให้ลงโทษ
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีได้ความชัดว่าที่กรมศุลกากรเปรียบเทียบปรับจำเลยแล้วนั้น เฉพาะความผิดฐานสำแดงรายการสินค้าเท็จเท่านั้นแม้การสำแดงรายการสินค้าเท็จนี้จะเกี่ยวเนื่องกับการที่จำเลยจะได้ลักลอบนำรำข้าวออกนอกราชอาณาจักรก็ตาม ถ้าการกระทำของจำเลยต่างกรรมต่างวาระกัน การที่กรมศุลกากรเปรียบเทียบปรับไปแล้วก็หาคุ้มถึงฐานลักลอบนำรำข้าวออกนอกราชอาณาจักรไม่ ปัญหาสำคัญจึงอยู่ที่ว่า การกระทำของจำเลยในความผิดสองฐานดังกล่าวนี้เป็นการกระทำผิดกฎหมายหลายบท หรือเป็นการกระทำผิด 2 กระทง ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า จำเลยได้สำแดงรายการเท็จเมื่อวันที่ 9มิถุนายน 2498 เป็นความผิดสำเร็จไปตอนหนึ่งแล้วต่อมาวันที่ 11 มิถุนายน 2498 จำเลยจึงได้พยายามลักลอบนำรำข้าวออกนอกราชอาณาจักรอีก การกระทำผิดสองฐานนี้ แม้จะเป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องกัน คือ จำเลยสำแดงรายการสินค้าเท็จ ก็เพื่อจะลักลอบนำออกนอกราชอาณาจักรก็ตาม แต่ก็เป็นการกระทำผิดคนละอย่างต่างกรรมกัน และกระทำผิดคนละเวลาต่างวาระกันด้วย จำเลยจึงต้องมีความผิดตามโจทก์ฟ้อง
พิพากษากลับลงโทษ