แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ชำระภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ไว้ที่อำเภอเป็นจำนวนน้อยผิดสังเกตุเจ้าหน้าที่สรรพากรตรวจพบเข้ามีความสงสัย จึงได้สั่งให้หมายเรียกโจทก์มาชี้แจงและนำบัญชีมาให้ตรวจสอบ โจทก์รู้ตัว จึงทำบัญชีขึ้นใหม่และนำภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ที่ยังชำระขาดอยู่ไปชำระต่ออำเภอ ซึ่งถ้าเจ้าพนักงานไม่ออกหมายเรียกดังกล่าว โจทก์ก็คงไม่นำเงินภาษีที่ขาดอยู่ไปชำระให้ เช่นนี้เรียกได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่า โจทก์ยังชำระเงินภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ขาดอยู่ตามความหมายในประมวลรัษฎากร ม.191 แล้ว ทางสรรพากรย่อมมีอำนาจสั่งให้โจทก์เสียเงินเพิ่มอีก 5 เท่า ของภาษีที่ชำระขาดไว้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนใบสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ เลขที่ ๑๗๑๕/๒๔๙๗ และที่ ๑๗๑๗/๒๔๙๗ ที่สั่งให้โจทก์เสียภาษีและเงินเพิ่มภาษีการซื้อโภคภัณฑ์เป็นเงิน ๕๒,๕๕๙.๑๐ บาท
จำเลยต่อสู้ว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีซื้อโภคภัณฑ์ไม่ถูกต้องตามความจริง เจ้าพนักงานจึงออกหมายเรียกโจทก์มาชี้แจงพร้อมทั้งเรียกหลักฐานบัญชีมาตรวจสอบเพิ่มเติม แต่โจทก์ขอผลัดผ่อน แล้วจัดทำบัญชีขึ้นใหม่ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้ออกคำสั่งไปยังโจทก์ให้นำเงินภาษีและเงินเพิ่มมาชำระตามใบสั่ง ๒ ฉบับที่โจทก์ฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำสั่งทั้ง ๒ ฉบับที่โจทก์ฟ้องเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ใบสั่งที่ ๑๗๑๕/๒๔๙๗ เป็นคำสั่งที่ถูกต้องแล้ว ส่วนใบสั่งที่ ๑๗๑๗/๒๔๙๗ เป็นคำสั่งไม่ชอบ พิพากษาแก้ว่าใบสั่งที่ ๑๗๑๗/๒๔๙๗ ของเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่และคำสั่งอธิบดีกรมสรรพากร เฉพาะที่สั่งให้โจทก์นำเงินภาษีการซื้อโภคภัณฑ์จำนวนเงิน ๗๙.๖๕ บาท และเงินเพิ่มอีก ๓๙๘.๒๕ บาท โดยอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากรม.๑๙๐นั้น เป็นการไม่ชอบ นอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาคัดค้านว่า ใบสั่งที่ ๑๗๑๕/๒๔๙๗ ที่สั่งให้โจทก์ชำระเงินเพิ่มอีก ๕ เท่านั้น ยังไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยมิได้ตรวจสอบพบว่าโจทก์เสียภาษีขาดจึงไม่มีอำนาจสั่งให้โจทก์เสียเงินเพิ่ม ๕ เท่า
ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ชำระภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ไว้ที่อำเภอเป็นจำนวนน้อยผิดสังเกตุ พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจพบเข้ามีความสงสัย จึงได้สั่งให้หมายเรียกโจทก์มาชี้แจงและนำบัญชีมาให้ตรวจสอบ โจทก์รู้ตัวจึงทำบัญชีขึ้นใหม่และนำเงินภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ที่ยังชำระขาดอยู่อีก ๑๐,๘๕๐.๒๕ บาท ไปชำระต่ออำเภอ เห็นได้ว่าการที่โจทก์นำเงินภาษีที่ยังขาดไปชำระอีกก็เพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบและหมายเรียกตัวโจทก์ให้มาชี้แจง และให้นำบัญชีตรวจสอบ ซึ่งถ้าเจ้าพนักงานไม่ออกหมายเรียกดังกล่าว โจทก์ก็คงไม่นำเงินภาษีที่ขาดอยู่ไปชำระให้ ฉนั้นจึงเรียกได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบพบว่า โจทก์ยังชำระเงินภาษีการซื้อโภคภัณฑ์ขาดอยู่ตามความในประมวลรัษฎากร ม.๑๙๑จำเลยจึงมีอำนาจสั่งให้โจทก์เสียเงินเพิ่มอีก ๕ เท่าของภาษีที่ชำระขาดไว้ได้
พิพากษายืน