คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1026/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องบรรยายว่าขอยื่นฟ้องนายคลี่มารดาผู้แทนโดยชอบธรรม ด.ญ.ยุพิน กับพวก จำเลยนั้นเมื่อไม่แสดงให้ชัดแจ้งว่า ฟ้องในฐานะอย่างอื่น ก็ต้องว่าฟ้องนาคลี่เป็นส่วนตัว ที่กล่าวว่าเป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมก็เพียงระบุว่านางคลี่คนไหนเท่านั้น
การแปลคำฟ้องที่จะให้เป็นผลร้ายแก่ผู้เยาว์ โดยโจทก์ไม่แสดงให้แน่ชัดหาได้ไม่
สัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลย ผู้มารดาในฐานะส่วนตัวทำกันไว้หาผูกพันทรัพย์สินของเด็กไม่

ย่อยาว

คดีนี้มาสู่ศาลฎีกาเฉพาะปัญหาชั้นบังคับคดีมูลเดิมโจทก์ฟ้องนางคลี่ ผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์ ๓ คนเป็นจำเลย ขอให้ศาลบังคับจำเลยโอนขายที่ดินบ้านเรือนมาให้โจทก์ ในที่สุดโจทก์จำเลยท้ายอมความกันว่าจำเลยตกลงขายที่บ้าน ๑ แปลง พร้อมด้วยเรือน ๑ หลัง กับนา ๑ แปลง ติดที่บ้านตามที่ได้เคยยึดทรัพย์ไว้ในอีกคดีหนึ่งให้โจทก์ราคา ๓๕๐๐ บาท โจทก์วางมัดจำไว้ ๑๔๐๐ บาท ที่เหลือจะชำระใน ๑ เดือน ศาลพิพากษาตามยอมโจทก์ได้วางเงินที่ค้างแล้ว โจทก์จำเลยตกลงกันได้ เฉพาะเรือนและที่บ้านที่จะทำโอนกัน ส่วนที่นาเกิดโต้เถียงกันถึงการแปลความหมายของสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลว่าเป็นนาติดที่บ้านด้านเหนือโจทก์ค้านว่าเป็นนาแปลงอื่นที่นายอิ่มยึดไว้ในอีกคดีหนึ่งดังกล่าว และจำเลยแถลงว่าทรัพย์รายนี้เป็นมรดกได้แก่บุตร จำเลยเป็นแต่มารดาผู้ปกครอง การที่จำเลยตกลงขายทรัพย์นี้ไม่ได้รับความยินยอมของบุตรและศาล
ปัญหามีว่านิติกรรมระหว่างโจทก์จำเลยต้อง ห้าม ตาม ป.พ.พ.ม. ๑๕๔๖ และศาลมีอำนาจบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่
ศาลชั้นต้นเห็นว่าถูกต้องและบังคับได้ จึงมีคำสั่งให้จำเลยไปร้องขอขายทรัพย์หมายเลข ๑,๒,๓ ที่ยึดไว้ต่ออำเภอให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาปรึกษาว่า ในฟ้องสำนวนปรากฎเหตุผลทำให้ต้องพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์ฟ้องผู้ใดเป็นจำเลย เพราะการฟ้องระบุนามบุคคลเป็นจำเลยโดยไม่มีข้อความแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าได้ฟ้องในฐานะอย่างอื่น ย่อมต้องถือว่าเป็นการฟ้องส่วนตัวบุคคลนั้น ๆ คำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่าขอยื่นฟ้องนางคลี่ ณ นคร มารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของ ด.ญ.ยุพิน กับพวก จำเลยนั้น จึงต้องเข้าใจ ว่าฟ้องนางคลี่ ณ นคร เป็นส่วนตัว การที่กล่าวถึงว่าเป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นเพียงระบุให้รู้ว่าเป็นนางคลี่ ณ นครไหน แต่จะแปลให้เป็นผลร้ายแก่ผู้เยาว์ว่าโจทก์ประสงค์ฟ้องเด็กโดยไม่แสดงให้ชัดหาได้ไม่ อีกประการหนึ่งข้อความในคำฟ้องก็กำกวมเพราะโจทก์มิได้บรรยายเลยว่าทรัพย์ที่กล่าวหากันเป็นของใคร เฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้ยืนยันว่าเป็นทรัพย์ของเด็กทั้ง ๓ คนจึงเห็นได้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกันไว้ไม่ผูกพันทรัพย์ที่พิพาทคือรายการยึดทรัพย์หมายเลข ๓
จึงพิพากษายืน

Share