คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1025/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องซึ่งกล่าวอ้างถึงการหมิ่นประมาท อันเป็นเหตุหย่าตามกฎหมายแพ่งนั้น ไม่เหมือนฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท ตาม ก.ม.ลักษณะอาญาซึ่งมี ป.ม.วิ.อาญามาตรา 158(5) วรรค 2 บัญญัติไว้เป็นพิเศษว่า ในคดีหมิ่นประมาทถ้อยคำพูดให้กล่าวไว้โดยบริบูรณ์ฉะนั้น เมื่อฟ้องของโจทก์บรรยายว่า “จำเลยได้บังอาจกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทด่าถึงโคตรวงษ์บิดามารดาโจทก์อย่างร้ายแรงต่าง ๆ นาๆ ” จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และกรณีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 172 แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอหย่าขาดจากสามีภรรยากับจำเลย และขอแบ่งสินสมรสโดยกล่าวอ้างว่าจำเลยได้นางไมร์เป็นภริยาอีกคนหนึ่ง และเมื่อประมาณ ๔ ปีมานี้จำเลยบังอาจด่าหมิ่นประมาทถึงโคตรวงษ์บิดามารดาโจทก์ด้วยถ้อยคำหยาบช้า ต่าง ๆนาๆ อย่างร้ายแรง และขู่เข็ญขับไล่ไม่ให้โจทก์อยู่บ้านเรือน โจทก์จึงไปอาศัยอยู่กับบุตร แล้วจำเลยหาได้เลี้ยงดูโจทก์ไม่ปล่อยให้โจทก์อดๆ หยากๆ ตลอดมาจนทุกวันนี้ได้ ๔ ปีแล้ว ครั้นวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๙๒ จำเลยบังอาจกล่าถ้อยคำหมิ่นประมาทด่าถึงโคตรวงษ์บิดามารดาโจทก์อย่างร้ายแรงต่าง ๆ นา ๆ อีกทั้งไม่ยอมให้โจทก์และบุตรทำนาที่เคยทำมาทุกปีนั้นด้วย
จำเลยต่อสู้หลายประการ และตัดฟ้องว่าเคลือบคลุมกับคดีขาดอายุความตามมาตรา ๑๕๐๘
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยด่าด้วยถ้อยคำอย่างไรและขาดอายุความ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การด่าคราวหลังตามฟ้องคดียังไม่ขายอายุความ ส่วนการบรรยายฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายตามมาตรา ๑๕๐๐(๒) ถูกต้องตาม ป.ม.วิ. แพ่งมาตรา ๑๗๒ แล้ว การฟ้องว่าหมิ่นประมาทอันเป็นเหตุหย่าตามกฎหมายแพ่งนั้นไม่เหมือนฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ก.ม.ลักษณะอาญาซึ่งตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๑๕๘(๕) วรรค ๒ บัญญัติไว้เป็นพิเศษว่า ในคดีหมิ่นประมาทถ้อยคำพูดให้กล่าวไว้โดยบริบูรณ์ จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นพ้องกับข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษายืน

Share