คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1022/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้ทำใบรับเงินให้แก่ผู้เสียหาย 1 ฉบับ มีข้อความว่าจำเลยได้รับเงินจากผู้เสียหาย 1 หมื่นบาทเพื่อซื้อแร่จากจังหวัดยะลามาให้ผู้เสียหายแล้วจำเลยได้กลับมาแจ้งแก่ผู้เสียหายว่าได้เอาเงิน 7000 บาท ไปวางมัดจำสำหรับทำสัญญาซื้อแร่ และได้นำเงินที่เหลือมาคืน ต่อมาจำเลยจึงได้ทำสัญญาขายฝากโรงงานถลุงแร่ของจำเลยแก่ผู้เสียหายจำนวนราคาขายฝากให้ถือเอาหลักฐานที่จำเลยทำไว้กับผู้เสียหาย คือสัญญากู้ยืม และรับเงินรวม 3 ฉบับและเงินจำนวน 1 หมื่นบาทดังกล่าวข้างต้นได้รวมอยู่เป็นค่าซื้อฝากโรงงานด้วย หลังจากทำสัญญาขายฝากแล้วผู้เสียหายจึงได้ทราบว่า จำเลยยักยอกเอาเงิน 7000 บาทซึ่งอ้างว่าไปวางมัดจำซื้อแร่นั้น เอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย
การที่ผู้เสียหายตกลงทำสัญญากับจำเลยเอาเงินที่หาว่าจำเลยยักยอกไปรวมเป็นราคาค่าซื้อฝากของโรงงานของจำเลยเสร็จไปแล้วนั้น ผู้เสียหายจะกลับรื้อฟื้นขึ้นมาว่ากล่าวฟ้องร้องไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทางแพ่งขอให้คืนเงินรายนี้หรือทางอาญาขอให้ลงโทษฐานยักยอก เพราะการตกลงกับจำเลยดังกล่าวข้างต้นนั้น มีผลเป็นการยินยอมไม่ติดใจว่ากล่าวในเงินรายนี้แล้ว
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงผิดจากพยานหลักฐานในท้องสำนวนศาลฎีกาไม่จำต้องถือตามและมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2491)

ย่อยาว

ความว่า จำเลยเป็นเจ้าของโรงถลุงแร่แห่งหนึ่ง จำเลยได้เอาเงิน ม.จ.นิตยากรไปหลายครั้ง บางครั้งจำเลยทำเป็นหนังสือกู้ยืมให้ไว้บ้าง ทำใบรับเงินบ้าง เฉพาะรายที่เป็นมูลกรณีแห่งคดีนี้ คือเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2486 จำเลยทำใบรับเงินให้ไว้แก่ม.จ.นิตยากรหนึ่งฉบับมีข้อความว่า จำเลยได้รับเงินไปจากผู้เสียหาย 10,000 บาท เพื่อเอาไปซื้อแร่จากจังหวัดยะลามาให้ม.จ.นิตยากร ถ้าซื้อไม่ได้ จะนำเงินมาคืนให้ จำเลยได้รับเงินสดไปเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม นั้น เพียง 4,000 บาทเศษ ส่วนอีก5,000 บาทเศษส่งไปจากธนาคารทางปักษ์ใต้ ต่อมา 7-8 วัน จำเลยได้กลับมาจากปักษ์ใต้แจ้งแก่ ม.จ.นิตยากรว่า ได้เอาเงิน7,000 บาท วางมัดจำไว้ต่อยี่ห้อเม่งเสียนจังหวัดยะลา สำหรับทำสัญญาซื้อแร่40 ตัน เหลือหักค่าใช้จ่ายเป็นค่าเดินทาง แล้วจำเลยได้ส่งคืนม.จ.นิตยากร ๆ ทราบต่อมาว่า ความจริงจำเลยหาได้นำเงิน 7,000 บาท ไปวางมัดจำไว้ไม่ จึงได้ร้องทุกข์ให้พนักงานอัยการดำเนินคดีนี้หาว่าจำเลยยักยอกเงิน 7,000 บาท ไว้เป็นประโยชน์ของจำเลยเสีย จึงขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 314 และให้คืนเงิน 7,000 บาท จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยกระทำผิดจริง พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 314 กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 7,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า หลักฐานในสำนวนแสดงว่าผู้เสียหายและจำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว ผู้เสียหายไม่มีสิทธินำคดีมาร้องทุกข์ และฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยได้อีก

ศาลฎีกาพิจารณาคดีนี้ในที่ประชุมใหญ่แล้ววินิจฉัยว่า ที่ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ทำสัญญาขายฝากโรงงานถลุงแร่ของจำเลยให้แก่ ม.จ.นิตยากรเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2486 นั้น เป็นการผิดจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลฎีกาไม่ต้องถือตาม คงฟังข้อเท็จจริงในข้อนี้ใหม่ตามพยานหลักฐานในท้องสำนวนว่า สัญญาขายฝากนี้ได้ทำเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2486 แต่ให้ถือว่ามีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2486 เป็นต้นไป คือตามสัญญาขายฝากนี้จำเลยยินยอมให้ ม.จ.นิตยากร ผู้รับซื้อฝากออกทุนในการประกอบกิจการแต่ฝ่ายเดียว และจำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์ในโรงงานนี้ทั้งหมดให้แก่ผู้รับซื้อฝาก นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2486 เป็นต้นไป ในข้อความตอนท้ายของสัญญามีว่า จำนวนราคาขายฝากนี้ ให้ถือหลักฐานที่นายเพาะจำเลย ได้ทำไว้กับ ม.จ.นิตยากร คือสัญญากู้ยืม และรับเงินเป็นจำนวน 3 ฉบับซึ่งได้เซ็นไว้และมอบให้ไว้กับหม่อมเจ้านิตยากรแล้ว และฟังข้อเท็จจริงว่า ใบรับเงิน 10,000 บาท เพื่อไปซื้อแร่ (รายที่เป็นมูลกรณีแห่งคดีนี้) ได้รวมอยู่เป็นค่าซื้อฝากโรงงานด้วยจึงต้องฟังว่า จำนวนเงิน 7,000 บาท ที่ผู้เสียหายได้ฟ้องเป็นกรณียักยอกนี้ เป็นจำนวนเงินที่ผู้เสียหายได้ตกลงกับจำเลย ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาซื้อฝากโรงงานของจำเลยแล้ว

ข้อเท็จจริงยังปรากฏต่อไปว่า ภายหลังจากการซื้อฝากโรงงานนี้แล้ว ผู้เสียหายจึงได้ทราบว่าที่จำเลยมาแจ้งว่าจำเลยเอาเงิน7,000 บาท ไปวางมัดจำซื้อแร่กับบริษัทเม่งเสียมนั้นเป็นความเท็จความจริงจำเลยเอาเงินจำนวนนี้ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย

ปัญหามีว่า ม.จ.นิตยากรจะอ้างว่าเป็นผู้เสียหาย กลับมาร้องฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกในทางอาญาหรือขอให้ใช้หรือคืนเงินได้หรือไม่

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ ม.จ.นิตยากรตกลงทำสัญญากับจำเลยเอาเงินที่หาว่าจำเลยยักยอกตามฟ้องไปรวมเป็นราคาค่าซื้อฝากโรงงานของจำเลยเสร็จไปแล้วนั้น เป็นการแสดงว่า ม.จ.นิตยากร ได้ยินยอมยกเลิกไม่เกี่ยวข้องกับเงินรายนี้แล้ว ฉะนั้นถึงแม้จำเลยจะยักยอกเอาเงินนี้ไปประโยชน์ส่วนตัวเสียก่อน และ ม.จ.นิตยากรเพิ่งทราบภายหลังก็ดี ก็จะกลับรื้อฟื้นขึ้นมาว่ากล่าวฟ้องร้องไม่ได้ ไม่ว่าเป็นทางแพ่งขอให้คืนเงินรายนี้หรือทางอาญา ขอให้ลงโทษฐานยักยอกเพราะการตกลงกับจำเลยดังกล่าวข้างต้นนั้น มีผลเป็นการยินยอมไม่ติดใจว่ากล่าวในเงินรายนี้แล้ว

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share