คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1021/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พูดเท็จเพื่อขอผัดชำระหนี้ โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของโรงแรม เครื่องเรือนเครื่องใช้ในโรงแรมขอนำเครื่องเรือนเครื่องใช้ในโรงแรมมาจำนำไว้ แต่ขอยืมเอาไปใช้ก่อน ผู้เสียหายหลงเชื่อและยอมให้ผัดชำระหนี้หาเป็นผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเป็นเจ้าหนี้ จำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษาศาลแพ่งเป็นจำนวนเงิน ๑๔๗๘ บาท ๔๙ สตางค์
เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๔๙๒ เวลากลางวันจำเลยทั้ง ๒ ได้มีเจตนาทุจจริตสมคบกันใช้อุบายหลอกลวงนำเอาความซึ่งจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จมากล่าวแก่โจทก์ว่าจำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมาย และได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายไทยแล้ว จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของโรงแรมเว่งอันและเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติเครื่องใช้ในโรงแรมนั้นแต่ผู้เดียว จำเลยที่ ๑ ยอมรับใช้หนี้โจทก์ตามจำนวนดังกล่าวแล้วโดยขอผ่อนชำระเป็น ๖ งวด และเพื่อเป็นหลักประกัน จำเลยที่ ๑ ได้นำเครื่องเรือนเครื่องใช้ในโรงแรมเว่งอัน รวม ๑๓ รายการตามบัญชีท้ายฟ้อง ซึ่งจำเลยทั้งสองแจ้งว่าเป็นของจำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียว มาจำนำโจทก์ไว้แต่จำเลยที่ ๑ ได้ขอยืมไว้ใช้ในโรงแรมก่อน เมื่อโจทก์ต้องการเมื่อใดจะยอมมอบให้โจทก์ทันที โจทก์หลงเชื่อจึงยอมให้จำเลยผัดชำระหนี้ และยอมมอบเครื่องเรือนเครื่องใช้ไว้ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ ความจริงจำเลยมิได้เป็นสามีภรรยากันโดยถูกต้องตามกฎหมาย โรงแรมและเครื่องเรือน เครื่องใช้นั้นก็เป็นของจำเลยที่ ๒ แต่ผู้เดียว โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับชำระหนี้ครบจำนวน จึงขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๓๐๔, ๖๓
ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฟ้องว่าหลอกลวงให้โจทก์ยอมให้จำเลยผัดชำระหนี้ไม่เป็นผิดฐานฉ้อโกง ไม่ประทับฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์, ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่าการพูดเท็จเพื่อขอผัดชำระหนี้นั้นหาเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงไม่ การที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าเพื่อเป็นหลักฐานประกันจำเลยที่ ๑ ได้นำเครื่องเรือน เครื่องใช้ในโรงแรมมาจำนำโจทก์ไว้ แต่จำเลยที่ ๑ ขอยืมไว้ใช้ในโรงแรมก่อนนั้นก็หาใช่เป็นการหลอกลวงหใ้เขาทำหนังสือสำคัญ หรือให้เขาถอนหรือทำลายหนังสือสำคัญอย่างใดไม่ จึงยังไม่เป็นผิดฐานฉ้อโกง
พิพากษายืน

Share