คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1019/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยมีส่วนกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ของผู้ตายในเวลากลางคืน ไม่พอฟังว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเหตุถูกชิงทรัพย์และปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง โจทก์ไม่อุทธรณ์ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อสะดวกในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ หรือในการชิงทรัพย์ครั้งนี้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการตายของผู้ตายจึงต้องฟังตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ตายมิได้ถึงแก่ความตายเพราะเหตุถูกชิงทรัพย์ครั้งนี้ แม้คดีจะน่าเชื่อว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อความสะดวกในการชิงทรัพย์และได้ชิงเอาเงิน 19,500 บาท ของผู้ตายไปก็จะปรับบทเป็นความผิดตามมาตรา 339 วรรคห้าไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยลักเอาเงินสด 19,500 บาทของผู้ตายไปโดยใช้ไม้ตีและมีดแทงผู้ตายหลายแห่งโดยเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ และนำสืบเช่นนั้น แต่ศาลชั้นต้นฟังพยานหลักฐานของโจทก์แต่เพียงว่าจำเลยมีส่วนในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ และไม่ฟังว่าการตายของผู้ตายเกิดจากการชิงทรัพย์ ซึ่งเป็นการที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงของคู่ความว่าจะเชื่อได้เพียงใดมิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีมีดปลายแหลมและไม้เหลี่ยมเป็นอาวุธ ลักเอาเงินสด 19,500 บาท ของนางประมูลผู้ตายไปโดยใช้ไม้ตีและใช้มีดแทงผู้ตายหลายแห่งโดยเจตนาฆ่า เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 289

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง จำคุก 15 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามมาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคห้า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าคดีน่าเชื่อว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และได้ชิงเอาเงิน 19,500 บาทของผู้ตายไป แต่อย่างไรก็ตาม แม้คดีจะน่าเชื่อเช่นนั้น แต่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยมีส่วนกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ของผู้ตายในเวลากลางคืน ไม่พอฟังว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเหตุถูกชิงทรัพย์ และปรับบทลงโทษจำเลยมาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง โจทก์ไม่อุทธรณ์ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายเพื่อสะดวกในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ คือในการชิงทรัพย์ครั้งนี้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการตายของผู้ตายจึงต้องฟังตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ตายมิได้ถึงแก่ความตายเพราะเหตุถูกชิงทรัพย์ครั้งนี้ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทว่าจำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคห้า จึงไม่ถูกต้อง

โจทก์นำสืบว่าจำเลยชิงเงิน 19,500 บาทของผู้ตายและในการชิงทรัพย์นี้จำเลยได้ใช้ไม้ตีและมีดแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตายปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.6 และภาพถ่ายแสดงท่าทางตอนกระทกความผิดของจำเลยกับบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพของจำเลยหมาย จ.9 แต่ศาลชั้นต้นฟังพยานหลักฐานดังกล่าวแต่เพียงว่าจำเลยมีส่วนในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์และไม่ฟังว่าการตายของผู้ตายเกิดจากการชิงทรัพย์ เป็นเรื่องศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงของคู่ความว่าจะเชื่อได้เพียงใด มิใช่เป็นเรื่องข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจาณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง แต่อย่างใด

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share