คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1017/2487

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แจ้งความว่าฝากทรัพย์ไว้แล้วเขาไม่คืนให้ เขาถูกจับฟ้องร้องแต่การถูกจับฟ้องร้องนั้นมิใช่เพราะจำเลยเอาความเท็จไปแจ้ง ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์จำเลยไม่ต้องรับผิดในความเสียหาย
ม.439 ใช้บังคับฉะเพาะผู้เอาทรัพย์ของผู้อื่นไปด้วยการละเมิด
จำเลยแจ้งความแล้วเจ้าพนักงานมายึดทรัพย์ของโจทก์ไปเป็นของกลางแล้วของกลางถูกไฟไหม้โดยเหตุสุดวิสัย จำเลยไม่ต้องรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเอาความเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงาน ว่าฝากเงินโจทก์ไว้แล้ว โจทก์ไม่คืนให้ เจ้าพนักงานได้ไปค้นและยึดเงินของโจทก์ไป แล้วฟ้องโจทก์ทางอาญาในที่สุดยกฟ้อง จึงขอให้จำเลยใช้เงินที่โจทก์เสียไปในการต่อสู้คดีอาญา และเงินที่ขาดหายไปในคราวถูกเจ้าพนักงานยึดไป
ศาลชั้นต้นฟังว่า พะยานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยนำความที่รู้อยู่ว่า เป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงาน ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด เป็นแต่เพียงใช้สิทธิติดตามทรัพย์ของจำเลยคืนเท่านั้น เงินของโจทก์สูญไปในคราวไฟไหม้อันเป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยไม่ต้องรับผิด พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในข้อกฎหมาย ศาลฎีกาตัดสินว่า ศาลล่างฟังว่าการที่โจทก์ถูกจับไปฟ้องร้องไม่ใช่เพราะจำเลยเอาทรัพย์เท็จไปแจ้ง ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดตามฟ้อง โจทก์เรียกค่าเสียหายไม่ได้สำหรับเงินที่เจ้าพนักงานยึดไป โจทก์อ้างว่าจำเลบต้องรับผิดตามมาตรา ๔๓๙ และ ๔๔๙ วรรค ๒ ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา ๔๓๙ บังคับฉะเพาะกรณีเอาทรัพย์ไปด้วยการละเมิด ส่วนมาตรา ๔๔๙ วรรค ๒ ห่างไกลกับคดีนี้ เพราะจำเลยไม่ได้เป็นต้นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ จึงพิพากษายืนตามศาลล่าง

Share