คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างวินิจฉัยมา เมื่อมิได้อุทธรณ์คัดค้านหรือมิได้แก้อุทธรณ์โต้แย้งไว้โดยชัดแจ้ง อันจะให้ถือได้ว่าได้ตั้งประเด็นคัดค้านไว้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงต้องฟังเป็นยุติ จะฎีกาโต้เถียงต่อไปมิได้
โจทก์กับสามีเป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ต่อมาสามีโจทก์ถูกจำคุก โจทก์ก็ไปมีสามีใหม่และมีบุตรด้วยกัน เมื่อสามีโจทก์พ้นโทษก็ได้ภรรยาใหม่และมีบุตรด้วยกัน ดังนี้ เป็นการแสดงออกชัดแจ้งว่าต่างสมัครใจสละละทิ้งกันแล้ว ย่อมขาดจากการเป็นสามีภริยากันตามกฎหมายลักษณะผัวเมียบทที่ 51 ซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น โดยไม่จำต้องทำพิธีหย่า เมื่อภรรยาใหม่ของสามีตาย โจทก์ได้กลับมาอยู่กินกับสามีอีกเป็นเวลาภายหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว โดยมิได้จดทะเบียนสมรส โจทก์จึงไม่เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของสามี ไม่มีสิทธิรับมรดก
ทรัพย์ที่สามีได้มาก่อนที่โจทก์จะกลับมาอยู่กินกับสามีและทรัพย์ที่สามีโจทก์ได้รับมรดกมาเมื่อโจทก์ได้มาอยู่กินกับสามีครั้งหลัง ไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์กับสามีร่วมกันทำมาหาได้โจทก์ไม่มีส่วนเป็นเจ้าของร่วม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้เสียเป็นสามีภริยากับนางแงเมื่อประมาณ ๔๗ ปีมาแล้วและได้อยู่กินกันตลอดมาโดยเปิดเผยจนนางแงถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสามีเจตนาทุจริตคบคิดกับบุคคลภายนอก ทำการฉ้อโกงปิดบังทรัพย์มรดกให้โจทก์ทำสัญญายอมให้แบ่งมรดกเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งมรดกน้อยกว่าที่ควรได้ จำเลยกลับได้มากกว่าที่ควรได้ จำเลยไม่สุจริตจึงต้องถูกกำจัดมิให้ได้รับมรดก และจำเลยที่ ๓ ไม่ใช่ทายาท ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ได้แบ่งสินสมรสในฐานคู่สมรส ๑ ใน ๓ และให้โจทก์ผู้เดียวเป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกของนายแง ห้ามจำเลยหรือบุคคลอื่นเกี่ยวข้องกับมรดกรายนี้ ให้เจ้าหน้าที่ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิที่ดินและเรือนตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง
จำเลยสู้ว่า จำเลยไม่ได้สมคบกันฉ้อฉลหรือปิดบังทรัพย์มรดก โจทก์ไม่ได้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแง จำเลยที่ ๓ เป็นบุตรของนายแง จึงเป็นทายาท มีสิทธิรับมรดกของนายแง โจทก์ได้ทำสัญญาแบ่งทรัพย์ด้วยความสมัครใจ โจทก์ไม่ใช่ทายาทจึงยกข้ออ้างเรื่องปิดปังหรือฉ้อฉลมรดกมาเป็นประโยชน์แก่โจทก์ไม่ได้ ทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์บางอันดับเป็นสินเดิมของนายแง โจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแง จำเลยที่ ๓ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแง สัญญาแบ่งทรัพย์ระหว่างโจทก์จำเลย เป็นสัญญาที่จำเลยสมคบกันทำขึ้นเพื่อฉ้อฉลมรดกไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่มีผลบังคับ จำเลยทั้งสามถูกจำกัดมิให้รับมรดกอีกด้วย ให้ทรัพย์มรดกตามบัญชีท้ายฟ้องที่ว่ามีอยู่ ตกได้แก่โจทก์ฝ่ายเดียว ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อนายแงติดคุกโจทก์ไปได้สามีใหม่ ส่วนนายแงพ้นโทษแล้วได้แต่งงานกับนางลุ้ย พฤติการณ์เห็นได้ว่าโจทก์กับนายแงได้สละละทิ้งกันไม่นับว่าเป็นสามีภริยากันแล้ว ถือได้ว่าโจทก์และนายแงได้สมัครใจหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว โดยไม่ต้องทำพิธีหย่ากัน โจทก์กลับมาอยู่กินกับนายแงใหม่ภายหลังประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ แล้ว โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสจึงไม่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธิจะขอแบ่งสินสมรสหรือรับมรดกต่อกันได้ แต่ทรัพย์ที่ทำมาหาได้ในระยะหลังนี้ถือได้ว่าเป็นเจ้าของร่วมกัน มีส่วนเท่า ๆ กัน จึงพิพากษาให้แบ่งทรัพย์บางรายการให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ได้กลับมาอยู่กินกับนายแงภายหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ แล้ว โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านและตามคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์มิได้โต้แย้งไว้โดยชัดแจ้ง อันจะถือได้ว่าได้ตั้งประเด็นคัดค้านไว้ในข้อนี้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงต้องฟังเป็นยุติ โจทก์จะฎีกาโต้เถียงต่อไปมิได้ตามพฤติการณ์แห่งข้อเท็จจริงก็เห็นได้ว่า ก่อนที่โจทก์จะมาอยู่กินกับนายแงครั้งหลังโจทก์และนายแงต่างมีเจตนาสละละทิ้งซึ่งกันและกันไม่นับเป็นสามีภริยากันแล้ว จึงขาดจากการเป็นสามีภริยากันตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ ๕๑ โดยไม่จำต้องทำพิธีหย่า การที่โจทก์กลับมาอยู่กินกับนายแงครั้งหลังเมื่อใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ แล้ว โดยมิได้จดทะเบียนสมรส โจทก์ก็ไม่เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายแง ไม่มีสิทธิรับมรดกของนายแง ที่ดินที่นายแงซื้อมาภายหลังโจทก์ก็ไม่มีส่วนเป็นเจ้าของ เพราะโจทก์มาอยู่ภายหลังที่นายแงได้ที่ดินดังกล่าวมาแล้วส่วนที่ดินอีกรายหนึ่งเป็นมรดกซึ่งนายแงได้รับมา ก็ไม่ใช่ทรัพย์ที่โจทก์กับนายแงร่วมกันทำมาหาได้
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์.

Share