คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ขณะที่ ต. บิดาโจทก์เข้าจับจองครอบครองที่ดินตาม ส.ค. 1 ซึ่งมีที่ดินพิพาทรวมอยู่ด้วยนั้น ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่ทางราชการได้ประกาศสงวนไว้ใช้ในราชการอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ต. จะอ้างการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นใช้ยันต่อแผ่นดินมิได้ โจทก์ซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกที่ดินจาก ต. จึงอ้างการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นใช้ยันต่อแผ่นดินมิได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าคำคัดค้านของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ทำการแทนไม่ชอบและคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้จำเลยที่ 3 ออกโฉนดที่ดินในที่ดินพิพาทจำนวน 1 ไร่ 16.5 ตารางวา ให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำแผนที่พิพาท ปรากฏว่าที่ดินพิพาทตามเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 16 ตารางวา ซึ่งคู่ความรับรองความถูกต้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับเป็นว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ราชพัสดุ ห้ามจำเลยที่ 1 และที่ 2 คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินพิพาท ให้จำเลยที่ 3 ออกโฉนดที่ดินพิพาทตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) เลขที่ 250 หมู่ที่ 1 ตำบลบ่อหิน อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ในส่วนเนื้อที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2481 เจ้าพนักงานอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ลงทะเบียนการหวงห้ามที่ดินพิพาทในสมุดลงทะเบียนลำดับที่ 15 ว่า สงวนไว้ในในราชการปรากฏตามเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งตรงกับเอกสารหมาย ล.5 และ ล.7 โดยไม่ปรากฏว่ามีพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่ารัฐได้หวงห้ามที่ดินพิพาทไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในราชการ ตามที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 กำหนดไว้ ต่อมาปี 2482 นายตั้ง รัตตมณี ได้จับจองที่ดินตาม ส.ค. 1 เลขที่ 250 หมู่ที่ 1 ตำบลบ่อหิน อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เนื้อที่ 13 ไร่ 1 งาน 50 ตารางวา ตามเอกสารหมาย จ.1 โดยได้รับใบเหยียบย่ำก่อน หลังจากนั้นนายตั้งจึงไปแจ้งการครอบครองที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2498 โดยรวมเอาที่ดินพิพาทเข้าไปอยู่ในที่ดินที่นายตั้งแจ้งการครอบครองด้วย โจทก์ซึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายตั้งได้รับมรดกที่ดินดังกล่าวเมื่อปี 2514 ต่อมาวันที่ 24 มิถุนายน 2540 โจทก์ยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค. 1 เอกสารหมาย จ.1 ในที่ดินส่วนที่เหลือจากการออกโฉนดไปแล้วบางส่วนซึ่งรวมที่ดินพิพาทอยู่ด้วย จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นธนารักษ์จังหวัดตรังได้คัดค้านว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุซึ่งทางราชการขึ้นทะเบียนสงวนไว้ใช้ในราชการ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตรังตรวจสอบแล้วมีความเห็นว่านายตั้งบิดาโจทก์ได้ที่ดินตาม ส.ค. 1 เอกสารหมาย จ.2 ภายหลังการขึ้นทะเบียนหวงห้ามที่ดินพิพาทของทางราชการ การได้มาและการแจ้ง ส.ค. 1 ทับที่ดินพิพาทอันเป็นที่หวงห้ามซึ่งสงวนไว้ใช้ในราชการไม่ก่อให้เกิดสิทธิใหม่แก่ผู้แจ้ง ส.ค. 1 ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 เป็นการได้ที่ดินพิพาทมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำสั่งลงวันที่ 26 มกราคม 2542 ให้กันที่ดินพิพาทออกไปและให้ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ในส่วนที่เหลือที่ไม่มีการคัดค้านปรากฏตามสำเนาคำสั่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตรังที่ 3/2542 เรื่อง การเปรียบเทียบออกโฉนดที่ดิน เอกสารหมาย ล.11 โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องภายใน 60 วัน นับแต่ทราบคำสั่ง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามเพียงประการเดียวว่า ขณะที่นายตั้งบิดาโจทก์เข้าจับจองครอบครองที่ดินตาม ส.ค. 1 เอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีที่ดินพิพาทรวมอยู่ด้วยนั้น ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่ทางราชการได้ประกาศสงวนไว้ใช้ในราชการอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า การหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 โดยจะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษา เกี่ยวกับที่ดินพิพาททางราชการมิได้ดำเนินการหวงห้ามตามพระราชบัญญัติดังกล่าวที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ที่ดินราชพัสดุ คำคัดค้านของจำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 นั้น มีการประกาศใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2479 และถูกยกเลิกไปในวันที่ 1 ธันวาคม 2497 ตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 4 ดังนั้น หากรัฐประสงค์จะหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อประโยชน์ใด ๆ แก่ทางราชการในช่วงระยะเวลาที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับก็จะต้องดำเนินการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาตามที่มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติไว้ โดยจะต้องระบุความประสงค์ที่หวงห้าม เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการหวงห้าม และที่ดินซึ่งกำหนดว่าต้องหวงห้าม แต่ก่อนหน้าพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 ใช้บังคับหาได้มีกฎหมายบังคับให้ต้องดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวแต่อย่างใดไม่ ในข้อนี้นายสุกิจ เที่ยงมณีกุล จำเลยที่ 2 อดีตธนารักษ์จังหวัดตรังเบิกความว่า ก่อนมีพระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ สำหรับที่ดินในภูมิภาคนั้น สมุหเทศาภิบาล ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองซึ่งมีอำนาจสูงสุดในท้องที่นั้นมีอำนาจปิดประกาศสงวนที่ดินเพื่อไว้ใช้ในราชการในภายภาคหน้าได้ การประกาศมีผลใช้บังคับทันที พยานยืนยันว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุแต่ไม่ทราบว่าเป็นที่ราชพัสดุก่อนวันลงทะเบียนในปี 2481 นานเท่าใดเนื่องจากไม่พบหลักฐานประกาศหวงห้ามที่ดินพิพาท พยานไปค้นหาที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรุงเทพมหานครก็ยังไม่พบ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ฝ่ายจำเลยไม่อาจหาหลักฐานการประกาศหวงห้ามที่ดินพิพาทมาแสดงต่อศาลได้ก็ตาม แต่การที่เจ้าพนักงานอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เมื่อปี 2481 จะกรอกข้อความลงทะเบียนที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินที่ทางราชการหวงห้ามในสมุดลงทะเบียนของสำนักงานที่ดินอำเภอสิเกาในวันที่ 30 ตุลาคม 2481 ได้นั้นจะต้องอาศัยหลักฐานของทางราชการเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้นเป็นข้อมูลในการลงทะเบียน ดังนั้น จึงมีเหตุผลให้น่าเชื่อว่ามีประกาศของทางราชการหวงห้ามที่ดินพิพาทไว้ก่อน วันที่ 8 เมษายน 2497 อันเป็นวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 ใช้บังคับอยู่จริง เพราะหากเป็นการประกาศหวงห้ามที่ดินพิพาทในช่วงระยะเวลาระหว่างวันที่ 8 เมษายน 2479 ถึงวันที่ 30 ตุลาคม 2481 สมุดลงทะเบียนก็จะต้องปรากฏข้อความตามพระราชบัญญัติให้ทราบได้ ทั้งตามรูปคดีก็ไม่มีเหตุจูงใจอื่นใดที่เจ้าพนักงานอำเภอสิเกาผู้ลงทะเบียนที่ดินพิพาทจะต้องกรอกข้อความในสมุดลงทะเบียนโดยปราศจากข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริงหรือทำเอกสารเท็จขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้งผู้หนึ่งผู้ใด นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังได้ความตามเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งตรงกับเอกสารหมาย ล.5 และ ล.7 อีกว่าในการลงทะเบียนที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานอำเภอสิเกาผู้ลงทะเบียนไม่ได้ระบุว่า กระทรวงทบวงกรมใดหวงห้าม กำหนดเวลาหวงห้าม วันประกาศหวงห้ามและเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการหวงห้าม อันเป็นหลักการที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 กำหนดไว้ สำหรับที่ดินที่มีการหวงห้ามภายหลังจากพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแล้ว ซึ่งเจ้าพนักงานผู้ลงทะเบียนจักต้องกระทำดังที่ปรากฏในคำอธิบายแบบการลงทะเบียนเอกสารแนบเอกสารหมาย ล.5 ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ถ่ายสำเนาจากสมุดลงทะเบียนของสำนักงานที่ดินอำเภอสิเกาไว้เป็นพยานหลักฐานตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 12 ธันวาคม 2543 อันเป็นข้อบ่งชี้ว่าประกาศหวงห้ามที่ดินพิพาทที่ทางราชการได้ประกาศไปนั้น ไม่มีข้อมูลรายละเอียดดังกล่าวข้างต้นส่อให้เห็นว่าเป็นลักษณะของประกาศหวงห้ามแบบเก่าที่มีอยู่ก่อนวันที่ 8 เมษายน 2479 ส่วนเหตุที่มีการลงทะเบียนในวันที่ 30 ตุลาคม 2481 นั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายสุกิจซึ่งอธิบายลักษณะการลงทะเบียนตามสมุดลงทะเบียนไว้ว่า ทะเบียนที่ดินลำดับที่ 1 ถึงที่ 30 เขียนด้วยลายมือเดียวกันไม่ระบุวันประกาศหวงห้าม คล้ายกับเป็นการรวบรวมลงทะเบียนที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่มีอยู่เดิมทั้งหมดและต่อจากลำดับที่ 30 ลงทะเบียนเป็นลำดับที่ 1 ถึงที่ 16 ด้วยลายมือชื่อแตกต่างกับลายมือเขียนอันดับที่ 1 ถึงที่ 30 และระบุวันประกาศหวงห้ามไว้ซึ่งในคำอธิบายแบบการลงทะเบียนเอกสารแนบเอกสารหมาย ล.5 ในย่อหน้าที่ 2 มีข้อความว่า “สำหรับการหวงห้ามที่มีมาก่อนใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 ก็อนุโลมใช้ทะเบียนนี้ เพราะในกาลต่อไปอาจมีการถอนการหวงห้าม แต่ให้ใช้ทะเบียนอีกเล่มหนึ่ง เพื่อมิให้ปะปนกับการหวงห้ามที่ใช้พระราชบัญญัตินี้แล้ว” จึงสอดคล้องกันมีเหตุผลให้น่ารับฟังว่าเป็นความจริง ด้วยเหตุนี้จึงเห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสามมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะที่นายตั้งบิดาโจทก์เข้าจับจองครอบครองที่ดินตาม ส.ค. 1 เอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีที่ดินพิพาทรวมอยู่ด้วยนั้น ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าที่ทางราชการได้ประกาศสงวนไว้ใช้ในราชการอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แล้วนายตั้งจะอ้างการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นใช้ยันต่อแผ่นดินมิได้ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกที่ดินจากนายตั้งจึงอ้างการครอบครองที่ดินพิพาทขึ้นใช้ยันต่อแผ่นดินมิได้ด้วยเช่นเดียวกัน คำคัดค้านของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และคำวินิจฉัยเปรียบเทียบของจำเลยที่ 3 เกี่ยวกับที่ดินพิพาทจึงชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share