แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสดหรือผู้ถือ ย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 918 ประกอบมาตรา 989 ช. เป็นผู้จัดการมรดกของ ก.ตามคำสั่งศาล ก.ทำพินัยกรรมต่อหน้า ช.น.และ ย. โดยพินัยกรรมระบุให้โจทก์เป็นผู้ร่วมรับมรดกหลังจากช.เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลแล้วช. ได้มอบเช็คพิพาทซึ่งเป็นส่วนแบ่งมรดกให้แก่โจทก์ จำเลยมิได้นำสืบหักล้างว่าพินัยกรรมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใดบ้าง และคำให้การของจำเลยก็มิได้ปฏิเสธว่า ก.มิได้ทำพินัยกรรมแต่อย่างใด การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยในข้อที่ว่าเป็นที่น่าสงสัยว่า ก.ทำพินัยกรรมจริงหรือไม่เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว เมื่อโจทก์ผู้เป็นทายาทโดยพินัยกรรมได้รับมอบเช็คพิพาทจากผู้จัดการมรดกเช่นนี้โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยการสืบสิทธิจาก ก.เจ้ามรดกหาใช่เป็นผู้รับโอนจากผู้ทรงคนก่อนโดยลำพังไม่จึงไม่ต้องห้ามที่จำเลยจะนำสืบต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับ ก. ซึ่งเป็นผู้ทรงคนก่อนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 จำเลยอ้างว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทระงับสิ้นไปด้วยการหักกลบลบหนี้กัน จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ให้เห็นโดยชัดแจ้ง แต่เมื่อพยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ มูลหนี้ตามเช็คพิพาทจึงมิได้ระงับสิ้นไปจำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณปลายปี 2531 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2หุ้นส่วนผู้จัดการ ได้กู้ยืมเงินจากนางกิมวาหรือเลงติ แซ่จังหรือแซ่ด่าน จำนวน 500,000 บาท และสั่งจ่ายเช็คจำนวนเงิน 500,000บาท ให้แก่นางกิมวา เพื่อชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวโดยมีข้อตกลงว่าหากนางกิมวาต้องการเงินคืนเมื่อใดก็ให้ลงวันสั่งจ่ายในเช็คแล้วนำไปเรียกเก็บเงินได้ทันที ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2535นางกิมวาถึงแก่กรรม นายโชคชัย พุ่มเมือง ในฐานะผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 464/2535 ของศาลจังหวัดหล่มสัก ได้ยกเช็คดังกล่าวให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมของนางกิมวา โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายต่อมามีการลงวันสั่งจ่ายในเช็คเป็นวันที่ 23 ธันวาคม 2535 แล้วโจทก์นำไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน506,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน500,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทตามฟ้องเพราะโจทก์ไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางกิมวาหรือเลงติแซ่จังหรือแซ่ด่าน จึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในเช็คพิพาทและไม่อาจถือสิทธิในฐานะผู้ทรงเช็คพิพาทมาฟ้องให้ จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์เช็คพิพาทเป็นเช็คไม่สมบูรณ์เพราะมิได้ลงวันสั่งจ่ายไว้ เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจลงวันสั่งจ่ายและนำไปเรียกเก็บเงิน ประมาณปี 2529 นางกิมวาขอให้จำเลยที่ 2ช่วยติดต่อซื้อบ้านให้น้องชายนางกิมวาที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จำเลยที่ 2 จึงดำเนินการให้และชำระราคาบ้านจำนวน250,000 บาท แทนนางกิมวา แล้ว ต่อมาปี 2531 กิจการของห้างจำเลยที่ 1 ไม่ดี จำเลยที่ 2 จึงของความช่วยเหลือจากนางกิมวานางกิมวาก็ให้เงินจำนวน 500,000 บาท ไปใช้ดำเนินกิจการโดยนางกิมวาบอกว่าไม่ต้องการเงินจำนวนดังกล่าวคืน แต่จำเลยที่ 2ยืนยันขอคืนเงินให้ในภายหลัง แล้วจำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทตามฟ้องให้นางกิมวายึดถือไว้โดยมีข้อตกลงว่าหากนางกิมวาต้องการเงินคืนให้แจ้งจำเลยที่ 2 ทราบล่วงหน้า แต่นางกิมวาก็ยังคงยืนยันว่าไม่ต้องการเงินคืน และจะไม่นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ต่อมาปี 2532จำเลยที่ 2 ส่งเงินไปให้น้องชายนางกิมวาที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นเงินประมาณ 500,000 บาท ตามที่นางกิมวาขอร้อง จากนั้นนางกิมวากับจำเลยที่ 2 ได้ตกลงหักกลบลบหนี้กับเงินจำนวน 500,000 บาท ที่จำเลยที่ 2 ได้ส่งไปให้น้องชายนางกิมวาที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อใช้สร้างบ้านแล้ว ส่วนที่เหลือ250,000 บาท จำเลยที่ 2 ยกให้แก่นางกิมวาเพื่อเป็นสินน้ำใจที่นางกิมวาเลี้ยงดูนางคมขำ จ่างวิทยา ภรรยาจำเลยที่ 2มาตั้งแต่นางคมขำยังเป็นเด็ก แต่นางกิมวาไม่ได้คืนเช็คให้แก่จำเลยที่ 2 เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้และไม่เป็นทรัพย์มรดกอันจะตกทอดแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่25 ธันวาคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 6,250 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อปี2531 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาพลับพลาไชย จำนวนเงิน 500,000 บาทตามเช็คเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งเป็นเช็คพิพาทมอบให้แก่นางกิมวาหรือเลงติ แซ่จังหรือแซ่ด่าน ไว้ โดยขณะรับมอบเช็คกันนั้นยังมิได้ลงวันสั่งจ่าย ต่อมาปี 2535 นางกิมวาถึงแก่กรรม โจทก์เป็นผู้ลงวันสั่งจ่ายในเช็คพิพาทเป็นวันที่ 23 ธันวาคม 2535 แล้วนำไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2535 ให้เหตุผลว่าโปรดติดต่อผู้สั่งจ่ายตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.3
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกมีว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมูลหนี้ตามเช็คพิพาทระงับสิ้นไปแล้วหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยรวมกันไป เห็นว่า เช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 เป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสดหรือผู้ถือ ย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 918 ประกอบมาตรา 989 และข้อเท็จจริงรบฟังได้โดยจำเลยทั้งสองไม่โต้เถียงว่านายโชคชัย พุ่มเมือง เป็นผู้จัดการมรดกของนางกิมวาตามคำสั่งศาลจังหวัดหล่มสัก โจทก์มีนายโชคชัย พุ่มเมือง และนายเน็ดโฉมอุดม เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า นางกิมวาทำพินัยกรรมต่อหน้าพยานทั้งสองและนางยิ่งศักดิ์ ซูกิติโพธิ์ โดยพินัยกรรมระบุให้โจทก์เป็นผู้ร่วมรับมรดกตามพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.4 หลังจากนายโชคชัยเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลแล้ว นายโชคชัยได้มอบเช็คพิพาทซึ่งเป็นส่วนแบ่งมรดกให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองมิได้นำสืบหักล้างว่าพินัยกรรมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใดบ้าง และคำให้การของจำเลยทั้งสองก็มิได้ปฏิเสธว่านางกิมวามิได้ทำพินัยกรรมแต่อย่างใด ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อที่ว่า เป็นที่น่าสงสัยว่านางกิมวาทำพินัยกรรมจริงหรือไม่ เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นต้องห้ามอุทธรณ์ จึงไม่รับวินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว เมื่อโจทก์ผู้เป็นทายาทโดยพินัยกรรมได้รับมอบเช็คพิพาทจากผู้จัดการมรดกเช่นนี้โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับปัญหาที่ว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทระงับสิ้นไปแล้วหรือไม่นั้นเห็นว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยการสืบสิทธิจากนางกิมวาเจ้ามรดก หาใช่เป็นผู้รับโอนจากผู้ทรงคนก่อนโดยลำพังไม่ จึงไม่ต้องห้ามที่จำเลยทั้งสองจะนำสืบต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับนางกิมวาซึ่งเป็นผู้ทรงคนก่อนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แต่เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาทระงับสิ้นไปด้วยการหักกลบลบหนี้กัน จำเลยทั้งสองจึงมีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ให้เห็นโดยชัดแจ้ง เห็นว่าพยานหลักฐานจำเลยทั้งสองไม่มีนำหนักให้รับฟังว่าจำเลยที่ 2 ออกเงินทดรองจ่ายให้นางกิมวาเป็นจำนวน 750,000 บาท เพื่อซื้อบ้านให้น้องชายนางกิมวาที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้วนางกิมวากับจำเลยตกลงหักกลบลบหนี้กับจำเลยเงินในเช็คพิพาท ดังนั้น มูลหนี้ตามเช็คพิพาทจึงมิได้ระงับสิ้นไป จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็ค ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน