คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1013/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยรู้ดีอยู่ก่อนแล้วว่าที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย จำเลยยังร่วมกันจ้างให้คนเข้าไปขุดดินในที่พิพาท และผู้รับจ้างจากจำเลยได้ขุดดินของผู้เสียหายจนเกิดเป็นบ่อ ทำให้ที่พิพาทเสียหายเช่นนี้ การกระทำของจำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362 จำเลยจะเถียงว่ามูลกรณีเป็นคดีแพ่งมิใช่คดีอาญา ย่อมฟังไม่ขึ้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจสมคบกันบุกรุกที่นาของนางวงษ์ผู้เสียหายเป็นเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ เพื่อถือการครอบครอง อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของนางวงษ์ผู้เสียหายโดยปกติสุข แล้วจำเลยได้บังอาจสมคบกันขุดดินในที่นาที่บุกรุกนั้นให้เป็นคูและบ่อ ทำให้พื้นนาเสียหายไร้ประโยชน์ในการปลูกข้าว ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๘, ๓๖๒
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของผู้เสียหายครอบครองอยู่ จำเลยที่ ๕ ใช้ให้จำเลยที่ ๓ จ้างคนขุดดินในที่พิพาทให้เป็นบ่อและผู้ที่รับจ้างได้ไปขุดดินในที่พิพาทตามที่จำเลยจ้างนั้นพิพากษาต้องกันว่า จำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๕ มีความผิดตามโจทก์ฟ้อง ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๕๘ ซึ่งเป็นบทหนัก โดยปรับจำเลยคนละ ๕๐๐ บาท
จำเลยฎีกาในข้อกฎหมายว่า มูลกรณีเป็นคดีแพ่งมิใช่คดีอาญา การกรทำของจำเลยไม่เป็นความผิดในทางอาญา เพราะผู้เสียหายยังไม่ได้โฉนดมาโดยสมบูรณ์แสดงกรรมสิทธิ์ต่อศาล จะอนุโลมเรียกว่ามีกรรมสิทธิ์ไม่ได้ การกระทำของจำเลยเป็นการโต้เถียงการครอบครองในทางแพ่งเท่านั้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อฎีกาของจำเลยว่า “เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย แม้โจทก์จะมิได้มีโฉนดที่รายนี้มาแสดงว่าที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย การที่จำเลยรู้ดีว่าที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย จำเลยยังร่วมกันจ้างให้คนเข้าไปขุดดินในที่พิพาทและผู้รับจ้างจากจำเลยได้ขุดดินของผู้เสียหายจนเกิดเป็นบ่อทำให้ที่พิพาทเสียหายเช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดในทางอาญาดังศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา หาใช่เป็นกรณีพิพาทกันในทางแพ่งแต่อย่างเดียวดังฎีกาของจำเลยไม่” พิพากษายืน

Share