แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยต่อสู้ว่าโรงเรือนและที่พิพาทเป็นของจำเลย ซื้อมาจากผู้อื่น แต่ทางการไม่อนุญาตให้ทำนิติกรรมเป็นผู้ซื้อได้ เพราะเป็นคนต่างด้าว จึงมอบให้จำเลยเป็นตัวแทนไปทำนิติกรรมแทนจำเลย ดังนี้ ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เป็นการไม่ชอบเพราะถ้าฟังตามคำให้การของจำเลยแล้ว รูปคดีไม่ใช่เรื่องอาศัย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยได้ จึงต้องฟังพยานต่อไป (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2497)
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท และให้ส่งมอบบ้านคืนให้โจทก์กับให้จำเลยในฐานะผู้จัดการบริษัทเบอรลี่ยุคเกอร์ สาขาหาดใหญ่ รื้อถอนโรงเก็บสินค้าออกจากที่พิพาท โดยอ้างว่าจำเลยอาศัย
จำเลยให้การว่า โรงเรือนและที่พิพาทเป็นของจำเลยซื้อจากขุนนิพัทธ์ฯ แต่ทางการไม่อนุญาตให้ทำนิติกรรมเป็นผู้ซื้อ จึงมอบให้โจทก์เป็นตัวแทนจำเลย เป็นการทำนิติกรรมอำพราง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเมื่อจำเลยต่อสู้ว่าเป็นผู้ซื้อที่พิพาทมาจากเจ้าของเดิมและได้ครอบครองไว้ในฐานะเป็นเจ้าของ หากไม่สามารถจะทำนิติกรรมซื้อขายเองได้เพราะเป็นคนต่างด้าว จึงจัดให้โจทก์เข้าเป็นผู้มีชื่อเป็นผู้ซื้อไว้แทน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง โจทก์ก็ไม่มีสิทธิขับไล่ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า ถ้าฟังตามข้อต่อสู้ของจำเลยแล้ว รูปคดีก็ไม่ใช่เป็นเรื่องอาศัยดังโจทก์อ้าง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยได้
พิพากษายืน