คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เป็นหุ้นส่วนห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่จดทะเบียนกู้เงินเขามา แม้เขียนในสัญญากู้ว่า “เอาสิทธิหุ้นส่วนของบริษัทพักตรพริ้งซึ่งผู้กู้มีสิทธิเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง” มาเป็นหลักทรัพย์ประกันก็ดี เงินที่กู้มาก็ย่อมเป็นกรรมสิทธิของผู้กู้โดยส่วนตัว การที่พูดว่าเอาสิทธิหรือหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนมาเป็นประกันเงินกู้ในสัญญากู้ที่ทำกันเองนั้น หาก่อให้เกิดเป็นการจำนำหรือบุริมสิทธิในอันที่จะติดตามไปบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของนิติบุคคล ซึ่งเกิดมาภายหลังนั้นไม่เมื่อผู้กู้ไม่ชำระเงินจนถูกผู้ให้กู้ฟ้องศาล ๆ บังคับให้ชำระแล้ว ผู้ให้กู้จะไปยึดทรัพยืสินของห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในภายหลังนั้นไม่ได้

ย่อยาว

คดีเรื่องนี้สืบเนื่องมาแต่สำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๑๐๔๒/๒๔๙๒ ของศาลแพ่ง ซึ่งโจทก์ชนะคดีจำเลยและยึดทรัพย์ไว้แล้วบัดนี้ผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์อ้างว่าเป็นทรัพย์ของผู้ร้องขอให้ถอนการยึด
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว วินิจฉัยว่าเป็นทรัพย์ของผู้ร้องให้ถอนการยึด
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลยที่โจทก์ฎีกาว่ามีอำนาจยึดและบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์รายพิพาทได้ เพราะจำเลยที่ ๒ กู้ยืมเงินโจทก์มาเพื่อประโยชน์แก่กิจการห้างหุ้นส่วน เห็นว่าจำเลยกู้ยืมเงินมาก่อน ห้างหุ้นส่วนรายนี้กำเหนิด เป็นนิติบุคคลแม้ขณะนั้นจะมีการเข้าหุ้นส่วนกันเพื่อดำเนินกิจการแล้วก็ดี แต่ก็เป็นเพียงห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิได้จดทะเบียนมิได้มีฐานะเป็นบุคคลต่างหากจกาตัวจำเลยอย่างใดไม่ การที่โจทก์ให้จำเลยกู้เงินไป แม้จะเขียนไว้ในสัญญากู้ว่า “เอาสิทธิหุ้นส่วนของบริษัทพักตรพริ้ง ซึ่งผู้กู้มีสิทธิเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง” มาเป็นหลักทรัพย์ประกันก็ดีเงินที่จำเลยกู้ไปจากโจทก์ก็ย่อมเป็นกรรมสิทธิของจำเลยโดยส่วนตัว หาก่อให้เกิดเป็นการจำนำหรือบุริมสิทธิในอันที่จะติดตามไปบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่เกิดมาภายหลังนั้นไป โจทก์มีทางที่จะบังคับคดีเอาจากสิทธิแห่งการเป็นหุ้นส่วนของจำเลยได้อยู่ โดยมิใช่ไปยึดทรัพย์สินเอาจากบุคคลภายนอกโดยตรงเช่นนี้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น ให้ยกเสียโดยพิพากษายืน

Share