คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลย 18 คน ศาลรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1ถึง 17 สำหรับฟ้องจำเลยที่ 18 ให้ยกเสีย ตามมาตรา172 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้รับคำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 18 ดังนี้ จำเลยที่ 18 ฎีกาได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 18 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจได้มีคำสั่งไปยังสถานีตำรวจท้องที่ให้ผ่อนผันการจับกุมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 โดยให้แย่งรับส่งคนโดยสารทับบนเส้นทางซึ่งโจทก์เป็นผู้ได้รับอนุญาตจากทางการ ให้ประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์แต่ผู้เดียว เมื่อโจทก์แจ้งความขอให้ตำรวจจับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 มาดำเนินคดีตำรวจไม่ยอมดำเนินการให้ เพราะจำเลยที่ 18 มีคำสั่งผ่อนผันการจับกุมจำเลยไว้ โจทก์จะได้ขอให้ศาลเรียกคำสั่งดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาต่อไป ดังนี้ เห็นได้ว่าคำสั่งของจำเลยที่ 18 เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ประกอบกับมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับคำสั่งของจำเลยที่โจทก์ขอให้เพิกถอนว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวยืนยันโดยแจ้งชัดแล้วว่าจำเลยที่18 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจเป็นผู้ออกคำสั่ง สั่งว่าอย่างไร ถึงใคร และมีผู้ใดกระทำตามคำสั่งนั้นโดยแจ้งชัดแล้ว ไม่เคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 18 ว่า พล.ต.อ. ป. กรมตำรวจ และยังได้บรรยายฟ้องอีกว่า จำเลยที่ 18 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 18 ในฐานะอธิบดีกรมตำรวจหาใช่ฟ้องในฐานะส่วนตัวไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งด้วยรถยนต์โดยสารบนเส้นทาง 2148 เพียงบริษัทเดียว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 ซึ่งไม่มีสิทธิหรืออำนาจที่จะนำรถยนต์เข้าไปวิ่งรับคนโดยสารบนเส้นทางของโจทก์ บังอาจนำรถยนต์ดังกล่าวมาวิ่งแย่งรับคนโดยสารบนเส้นทางของโจทก์ เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการขนส่งเป็นเหตุให้รายได้โจทก์ลดต่ำลงวันละ 1,500 บาท วันที่ 14-15 กันยายน 2513 โจทก์แจ้งให้ตำรวจจับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 ตำรวจจับจำเลยที่ 1 ที่ 3, ที่ 4, ที่ 6 ได้ และเปรียบเทียบปรับแล้ว

วันที่ 16 กันยายน 2513 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 ได้ร่วมกันนำรถยนต์เข้าวิ่งแย่งรับคนโดยสารทับเส้นทางของโจทก์อีก โจทก์แจ้งให้ตำรวจจับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 ตำรวจอ้างว่าได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 18 ให้ผ่อนผันจับกุมจำเลยที่ 1ถึงที่ 17 โดยอนุญาตให้นำรถยนต์เข้าวิ่งแย่งรับคนโดยสารทับเส้นทางของโจทก์ได้

จำเลยที่ 18 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจได้ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายทำคำสั่งไปยังตำรวจผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทองให้ผ่อนผันการจับกุมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 ปรากฏตามคำสั่งของจำเลยที่ 18 ซึ่งโจทก์จะได้ขอให้ศาลเรียกมาประกอบการพิจารณาต่อไปการกระทำของจำเลยที่ 18 เป็นการขัดต่อกฎหมาย เป็นเหตุให้ตำรวจไม่ยอมทำการจับกุมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 เป็นการละเมิดต่อกฎหมายและสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์ ขอให้บังคับให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายและขอให้ศาลมีคำสั่งว่า คำสั่งของจำเลยที่ 18 มิชอบด้วยกฎหมายให้เพิกถอนคำสั่งนั้นเสีย ห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 วิ่งรถยนต์ทับเส้นทางตามฟ้องของโจทก์

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 สำหรับฟ้องจำเลยที่ 18 นั้น ตามข้ออ้างของโจทก์ที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือคำสั่งผ่อนผันการจับกุมนั้น ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ คำฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 18 ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ให้ยกเสีย ตามมาตรา 172

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้รับคำฟ้องของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 18

จำเลยที่ 18 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ได้รับอนุญาตจากทางการให้ประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์โดยสารบนเส้นทาง 2148 แต่ผู้เดียว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 กระทำผิดพระราชบัญญัติการขนส่งฯ โดยนำรถยนต์เข้าวิ่งแย่งรับส่งคนโดยสารบนเส้นทางดังกล่าว จำเลยที่ 18 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจได้มีคำสั่งไปยังสถานีตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทองให้ผ่อนผันการจับกุมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 โดยให้วิ่งแย่งรับคนโดยสารทับเส้นทางของโจทก์ โจทก์แจ้งความขอให้ตำรวจจับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 มาดำเนินคดี ตำรวจไม่ยอมดำเนินการให้ เพราะจำเลยที่ 18 มีคำสั่งให้ผ่อนผันการจับกุมจำเลยดังกล่าว คำสั่งของจำเลยที่ 18 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดสิทธิโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้เพิกถอนคำสั่งนั้นด้วย ข้อความดังกล่าวเห็นได้ว่าคำสั่งของจำเลยที่ 18 เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ ประกอบกับมีข้อโต้แย้งที่เกี่ยวกับคำสั่งของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 18 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55

ฎีกาของจำเลยที่ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โดยบรรยายคำสั่งจำเลยที่ 18 มาลอย ๆ จะมีจริงหรือไม่ คำสั่งถึงใคร ใครเป็นผู้ออกคำสั่ง และมีผู้ใดเป็นผู้กระทำตามคำสั่งนั้น ไม่ได้ความแน่ชัด ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์ยืนยันมาโดยแจ้งชัดแล้วว่าจำเลยที่ 18 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจเป็นผู้ออกคำสั่งถึงสถานีตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง ให้ผ่อนผันการจับกุมจำเลยที่ 1 ถึงที่ 17 โจทก์จะได้ขอให้ศาลเรียกคำสั่งมาประกอบการพิจารณาต่อไปเป็นการยืนยันว่าคำสั่งนั้นมีอยู่จริง และยังได้ความตามฟ้องต่อไปว่าตำรวจภูธรอำเภอเมืองอ่างทองได้กระทำการตามคำสั่งนั้น ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 18 ในฐานะส่วนตัวโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องได้นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้โจทก์ฟ้องระบุชื่อจำเลยที่ 18 ว่า “พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ กรมตำรวจ” โดยไม่ได้ระบุฐานะว่าเป็นผู้มีหน้าที่ใดก็จริงแต่โจทก์ก็ได้ระบุไว้ท้ายชื่อว่า กรมตำรวจ และยังบรรยายฟ้องในข้อ 5 ว่าจำเลยที่ 18 เป็นอธิบดีกรมตำรวจ ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 18 ในฐานะอธิบดีกรมตำรวจหาใช่ฟ้องในฐานะส่วนตัวไม่

พิพากษายืน

Share