คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10082/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จะพิจารณาว่าจำเลยในฐานะผู้รับฝากรถยนต์คันพิพาทไว้โดยมีบำเหน็จค่าฝากได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้นหรือไม่นั้นจะต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับคนทั่วๆ ไปในภาวะเช่นนั้นว่าควรจะพึงใช้ความระมัดระวังเช่นไร ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยจอดรถยนต์คันพิพาทไว้บริเวณด้านหน้าอู่ซ่อมรถของจำเลยโดยได้ล็อกประตูและล็อกพวงมาลัยรถยนต์คันพิพาท ส่วนตัวจำเลยก็นอนอยู่ภายในอู่ดังกล่าว เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถดังขึ้นก็ได้ลุกขึ้นดู ปรากฏว่ารถยนต์คันพิพาทหายไปก็ได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจที่ผ่านมาทราบและออกติดตามคนร้ายกับเจ้าพนักงานตำรวจด้วย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจำเลยได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้นแล้ว
อู่ซ่อมรถของจำเลยเป็นห้องแถวและเป็นอู่ขนาดเล็ก บริเวณด้านหน้าของอู่ตั้งประชิดติดกับขอบถนน ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะมีการกั้นรั้วหรือจัดหายามมาคอยระแวดระวังในเวลากลางคืน ดังนั้น การที่จำเลยจอดรถยนต์คันพิพาทไว้บริเวณด้านหน้าของอู่จะถือว่าจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้นหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2545 นางสาวนันทานำรถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียน ป – 5734 ชุมพร ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ไปซ่อมเปลี่ยนเครื่องยนต์ที่อู่ของจำเลย จำเลยตกลงรับซ่อมและรับมอบรถยนต์พร้อมกุญแจไว้อันเป็นการรับฝากทรัพย์เพื่อทำการซ่อม จำเลยมีหน้าที่ดูแลรถยนต์ขณะอยู่ในความครอบครองของจำเลยเสมือนวิญญูชนพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง ต่อมาวันที่ 30 กรกฎาคม 2545 นางสาวนันทาได้รับแจ้งว่ารถยนต์คันดังกล่าวหายไป ซึ่งการที่รถยนต์คันดังกล่าวหายไปเกิดจากความบกพร่องและประมาทเลินเล่อในการดูแลรักษาของจำเลย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางสาวนันทาผู้เอาประกันภัยจำนวน 120,000 บาท โจทก์จึงได้รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเอาจากจำเลย ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ป – 5734 ชุมพร คืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ค่าเสียหายจำนวน 125,720 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 120,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยรถยนต์คันพิพาทไว้ซ่อมจริงในทำนองช่วยเหลือในฐานะคนรู้จักสนิทสนมกัน และจำเลยใช้ความระมัดระวังในการดูแลรถยนต์คันพิพาทเป็นอย่างดีเยี่ยงวิญญูชนพึงกระทำ มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 8 รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่าโจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันพิพาทไว้จากนางสาวนันทาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2545 นางสาวนันทานำรถยนต์คันพิพาทไปซ่อมที่อู่ของจำเลยซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายพุนพิน – หนองขรี โดยนางสาวนันทามอบรถยนต์พร้อมกุญแจรถให้จำเลยเก็บรักษาไว้ ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2545 เวลาประมาณ 3 นาฬิกา ขณะที่จำเลยนอนพักอยู่ภายในอู่มีคนร้ายมาลักรถยนต์คันพิพาทไป จำเลยซึ่งรู้สึกตัวตื่นเนื่องจากเสียงดังของเครื่องยนต์ได้ลุกขึ้นมาดู และเมื่อพบว่ารถยนต์คันพิพาทหายไปก็ได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบ จากนั้นจำเลยและเจ้าพนักงานตำรวจออกตามหารถยนต์คันพิพาทแต่ไม่พบ จึงแจ้งให้นางสาวนันทาทราบ และต่อมาโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนจำนวน 120,000 บาท ให้แก่นางสาวนันทา ผู้เอาประกันภัย คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์ฎีกาในทำนองว่า จำเลยจอดรถยนต์คันพิพาทไว้ในบริเวณที่เสี่ยงต่อการที่จะถูกโจรกรรม ทั้งมิได้จัดให้มีรั้วกั้นหรือมียามคอยตรวจตราดังเช่นอู่ซ่อมรถโดยทั่วไป ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ใช้ความระมัดระวังดังเช่นวิญญูชนจะพึงรักษาทรัพย์ของตนเอง จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ เห็นว่า การที่จะพิจารณาว่าจำเลยในฐานะผู้รับฝากรถยนต์คันพิพาทไว้โดยมีบำเหน็จค่าฝากได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้นหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับคนทั่ว ๆ ไปในภาวะเช่นนั้นว่าควรจะพึงใช้ความระมัดระวังเช่นไร ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยจอดรถยนต์คันพิพาทไว้บริเวณด้านหน้าอู่ของจำเลยโดยได้ล็อกประตูและล็อกพวงมาลัยรถยนต์คันพิพาท ส่วนตัวจำเลยก็นอนอยู่ภายในอู่ดังกล่าว เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถดังขึ้นก็ได้ลุกขึ้นมาดู และเมื่อพบว่ารถยนต์คันพิพาทหายไป ก็ได้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจที่ผ่านมาทราบและออกติดตามคนร้ายกับเจ้าพนักงานตำรวจด้วย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าจำเลยได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้นแล้ว ส่วนที่โจทก์อ้างว่าการที่จำเลยจอดรถยนต์คันพิพาทไว้ริมถนนแทนที่จะไปจอดไว้ในบริเวณชายคาหน้าอู่ของจำเลย รวมทั้งจำเลยไม่ได้จัดให้มีรั้วกันหรือมียามคอยตรวจตรารถยนต์คันพิพาทเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น เห็นว่า สำหรับจุดจอดรถยนต์คันพิพาทนั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายเอกชัยพยานโจทก์ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า จำเลยใช้ห้องแถวซึ่งอยู่ติดกับถนนสายพุนพิน – หนองขรี เป็นที่ตั้งอู่ และได้ความจากภาพถ่ายหมาย จ.7 ว่าบริเวณด้านหน้าของอู่ตั้งประชิดติดกับขอบถนน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงว่าอู่ของจำเลยเป็นอู่ขนาดเล็ก ซึ่งอู่ที่มีขนาดเล็กและอยู่ติดกับถนนเช่นนี้ ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะมีการกั้นรั้วหรือจัดหายามมาคอยระแวดระวังในเวลากลางคืน ดังนั้น การที่จำเลยจอดรถยนต์คันพิพาทไว้บริเวณด้านหน้าของอู่จะถือว่าจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้นหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share