คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1008/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 5 นั้น เมื่อมูลกรณีเรื่องภาษีอากรในคดีเรื่องนี้อยู่ภายในกรอบอำนาจหน้าที่และการควบคุมของจำเลย(กรมสรรพากร) โจทก์จึงฟ้องจำเลยได้
เงินค่าภาษีเงินได้ที่นายจ้างออกแทนลูกจ้างไปนั้น ไม่ใช่เป็นเงินอันพึงประเมินภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา40(1)(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2502 เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้เขตจังหวัดพระนครได้ประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์สำหรับ พ.ศ. 2498, 2499, 2500, 2501 แล้วกำหนดให้โจทก์นำภาษีเงินได้และเงินเพิ่มภาษีไปเสียเพิ่มเติมจากที่จำเลยได้รับชำระไปแล้วนั้น โจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง คือ ในรายการประเมินภาษีจำนวน พ.ศ. 2498, 2499 เจ้าพนักงานได้นำเงินภาษีเงินได้ที่บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ออกแทนโจทก์จำนวน 82,415 บาท และ 352,972.37 บาท ตามลำดับ เข้ารวมเป็นเงินได้พึงประเมินและในรายการประเมินภาษีจำนวน พ.ศ. 2499, 2500, 2501 เจ้าพนักงานได้นำเงินที่บริษัทบุญรอดฯ ช่วยการศึกษาแก่บุตรโจทก์ 95,770.16 บาท 235,815.12 บาท และ 1,292.82 บาท ตามลำดับ เข้ารวมเป็นเงินได้พึงประเมินของโจทก์ โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินไปยังคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเงินภาษีเงินได้ที่บริษัทบุญรอดฯ ออกแทนให้แก่โจทก์เป็นเงินได้พึงประเมิน ส่วนเงินช่วยการศึกษาในต่างประเทศที่บริษัทบุญรอดฯออกให้แก่บุตรผู้เยาว์ของโจทก์ ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินจึงสั่งให้ลดเงินภาษี และยกเว้นเงินเพิ่มภาษีบ้าง และสั่งให้โจทก์นำเงินภาษีไปเสียเพิ่มเติม 356,642.89 บาทนั้น เป็นการไม่ชอบขอให้พิพากษาว่า การประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้ท้ายฟ้องหมายเลข 1, 2 และ 4 ไม่ถูกต้อง และยกคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เฉพาะส่วนที่ให้โจทก์นำภาษีเงินได้ไปชำระ 4 จำนวน รวม 356,642.89 บาท กับพิพากษาว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดเสียภาษีเพิ่ม

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ภาษีเงินได้ที่บริษัทบุญรอดฯ นายจ้างของโจทก์เป็นผู้ออกชำระให้ เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39, 40(1)(2) แห่งประมวลรัษฎากร

ศาลแพ่งวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง เงินค่าภาษีเงินได้ที่นายจ้างออกให้ไม่ใช่เงินได้อันพึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40(1)(2) พิพากษาว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดชอบชำระค่าภาษีเงินได้ในจำนวนเงินที่บริษัทบุญรอดฯ นายจ้างจ่ายค่าภาษีเงินได้แทนโจทก์และไม่ต้องรับผิดชอบชำระค่าภาษีเงินได้ในจำนวนเงินที่บริษัทบุญรอดฯนายจ้างจ่ายเป็นเงินค่าการศึกษาของบุตรโจทก์ ดังที่คณะกรรมการวินิจฉัยให้โจทก์ชำระไว้ 356,642.89 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เงินค่าภาษีที่นายจ้างออกแทนโจทก์นั้นเป็นการช่วยเหลือใช้ประโยชน์เพิ่มแก่โจทก์นั้นเอง จึงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แต่คำนวณแล้วโจทก์มีหน้าที่รับผิดเสียภาษีเพิ่มเพียง 217,693.68 บาท พิพากษาแก้ว่า โจทก์มีหน้าที่รับผิดเสียภาษีเงินได้รวม 217,693.68 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์จำเลยฎีกาต่อมา โดยโจทก์ขอให้พิพากษาให้โจทก์ชนะเต็มตามฟ้อง จำเลยฎีกาขอให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 5 นั้น เมื่อมูลกรณีเรื่องภาษีอากรในคดีเรื่องนี้อยู่ภายในกรอบอำนาจหน้าที่และการควบคุมของจำเลย โจทก์จึงฟ้องจำเลยได้

ตามมาตรา 40(1)(2) ถ้าถือว่าเงินที่นายจ้างชำระค่าภาษีไปนั้นต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากรแล้ว ในกรณีที่นายจ้างสัญญากับลูกจ้างยอมชำระค่าภาษีเงินได้แทนลูกจ้าง นายจ้างก็จะต้องรับผิดชำระค่าภาษีแทนลูกจ้างทุกจำนวนเงินที่ลูกจ้างจะต้องเสียภาษีและจะต้องคิดค่าภาษีทุกจำนวนเงินที่นายจ้างชำระแทน ฉะนั้นเมื่อมีการคำนวณค่าภาษีเงินได้ที่ลูกจ้างจะต้องรับผิดชำระครั้งแรกและนายจ้างชำระเงินค่าภาษีจำนวนนี้แทนไปแล้ว ก็ต้องนำจำนวนเงินที่ชำระแทนไปนั้นไปคำนวณค่าภาษีเงินได้เป็นครั้งที่ 2 เมื่อคำนวณและนายจ้างชำระแทนครั้งที่ 2 แล้ว ก็ต้องนำจำนวนเงินที่ชำระแทนครั้งที่ 2 ไปคำนวณและชำระเป็นครั้งที่ 3-4-5 คำนวณและชำระทำนองนี้เรื่อยไปเป็นทำนองทศนิยมไม่รู้จบ เพราะไม่มีข้อความในประมวลรัษฎากรให้แยกได้ว่า ต้องเสียภาษีในจำนวนเงินที่ออกแทนเฉพาะครั้งแรกหรือเฉพาะครั้งหนึ่งครั้งใด จึงเห็นว่า ไม่น่าจะมีระบบเก็บภาษีซึ่งต้องคิดและต้องชำระทำนองทศนิยมไม่รู้จบถ้ากฎหมายมุ่งหมายเช่นนั้น ก็คงจะระบุไว้โดยชัดแจ้ง มาตรา 40(1)(2) ตอนต้นระบุไว้ล้วนแต่เห็นได้ชัดแจ้งว่า เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายหรือให้แก่ลูกจ้างโดยตรง และถ้าหากถือว่าประโยชน์เพิ่มอย่างอื่นหมายถึงประโยชน์ทุกอย่างที่ลูกจ้างได้รับจากการกระทำของนายจ้างแล้ว มาตรา 40(1) ก็ไม่จำเป็นต้องระบุถึงเงินค่าเช่าบ้านที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง หรือบ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า ฉะนั้น เงินที่นายจ้างออกแทนลูกจ้างในคดีนี้ไม่ใช่เป็นเงินอันพึงประเมินภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(1)(2) พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share