คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1008/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยตกลงกับโจทก์ เอาเรือนของจำเลยตีใช้หนี้เงินกู้ให้โจทก์เป็นราคา 9,500 บาทโดยให้โจทก์รื้อเอาเรือนไปใน 5 วันนั้น หาจำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ไม่ ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการแปลงหนี้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 โดยคู่กรณีได้ตกลงเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ คือเอาเรือนของจำเลยชำระหนี้แทนที่จะต้องนำเงินมาชำระตามสัญญากู้ ฉะนั้นหนี้เงินกู้ระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นอันระงับไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป 2 คราว ต่อมาได้มีการชำระหนี้กันบางส่วนและหักกลบลบหนี้กัน จำเลยตกลงโอนบ้านเรือนของจำเลยให้โจทก์เป็นการใช้หนี้ แต่เมื่อครบกำหนดตามที่ตกลงกันให้โจทก์รื้อบ้านไป จำเลยกลับบิดพลิ้ว จึงขอให้จำเลยใช้เงินกู้ที่ยังค้างอยู่ 9,500 บาท

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่รื้อเรือนไปเองจะมาฟ้องจำเลยไม่ชอบ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 9,500 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลย ให้เอาเรือนของจำเลยที่เป็นประกันเงินกู้ตีใช้หนี้เงินกู้ให้โจทก์เป็นราคา 9,500 บาท โดยให้โจทก์รื้อเอาเรือนไปใน 5 วันนั้น หาจำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ไม่ ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการแปลงหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 โดยคู่กรณีได้ตกลงเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ คือเอาเรือนของจำเลยชำระหนี้แทนที่จะต้องนำเงินมาชำระตามสัญญากู้ หนี้เงินกู้ระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นอันระงับไป โจทก์จะมาฟ้องเรียกเงินกู้ตามสัญญาซึ่งระงับไปแล้วหาได้ไม่ จึงพิพากษายืน

Share