คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1006/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้นหากศาลเห็นสมควรงดการพิจารณาคดีแพ่งไว้รอฟังข้อเท็จจริงที่จะปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ศาลก็จำต้องจดรายงานกระบวนพิจารณาให้ปรากฏข้อความโดยชัดแจ้งเช่นนั้น ต่อเมื่อมีคำพิพากษาคดีส่วนอาญาแล้วจึงจะหยิบยกคดีแพ่งขึ้นมาพิจารณาต่อไป โดยให้มีข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเข้ามาสู่สำนวนความคดีแพ่งด้วย (โดยวิธีนำสืบพยานหลักฐานหรือคู่ความรับกัน) ศาลจะสั่งงดสืบพยานและพิพากษาคดีโดยไม่มีข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเข้ามาในสำนวนหาชอบไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดิน 1 แปลงจากนายป้วนบิดาและได้จดทะเบียนสิทธิตามกฎหมาย จำเลยซึ่งอาศัยนายป้วนปลูกเรือนอยู่ในที่ดินนั้นได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ ขอให้ขับไล่

จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้อาศัยสิทธิผู้ใด ที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าจำเลยได้หักร้างครอบครองมาเป็นเวลา 5 ปีเศษแล้ว จำเลยได้สิทธิครอบครองหากโจทก์ซื้อจากนายป้วนก็ไม่สุจริต ไม่มีสิทธิในที่ดิน

ในวันสืบพยาน โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า เป็นคู่ความเดียวกันกับคู่ความในคดีอาญาดำที่ 446/2511 และที่ดินที่ฟ้องเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งศาลต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญาดังกล่าว คู่ความขอสืบพยานแต่ศาลชั้นต้นสั่งงดและนัดฟังคำพิพากษา แล้ววินิจฉัยว่า โดยที่คดีอาญาดำที่ 446/2511 แดงที่ 587/2511 ของศาลจังหวัดอ่างทองศาลฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายป้วน แล้วโอนขายให้โจทก์โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยละเมิดพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญาว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายป้วน นายป้วนขายให้โจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์นั้น ไม่ปรากฏว่าฝ่ายใดระบุอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวเข้ามาในสำนวน จริงอยู่โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่าเป็นคู่ความเดียวกันกับคู่ความในคดีอาญาดำที่ 446/2511 และที่ดินที่ฟ้องเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่คู่ความมิได้อ้างหรือรับกันหรือขอให้ศาลเรียกสำนวนคดีอาญาดังกล่าวมาเป็นพยานในคดีนี้ศาลชั้นต้นไปรับฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวเอามาพิพากษาคดีนี้ เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวน ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 บัญญัติว่า ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น เมื่อประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งเป็นอย่างเดียวกับปัญหาที่วินิจฉัยในคดีส่วนอาญาแล้ว และศาลเห็นสมควรงดการพิจารณาคดีแพ่งไว้รอฟังข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ศาลก็จำต้องจดรายงานกระบวนพิจารณาสั่งไว้ให้ปรากฏข้อความโดยชัดแจ้งเช่นนั้น ต่อเมื่อมีคำพิพากษาส่วนอาญาแล้วจึงจะหยิบยกคดีแพ่งขึ้นมาพิจารณาต่อไป โดยให้มีข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเข้ามาสู่สำนวนคดีแพ่งด้วย มิใช่สั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษาได้เลยทีเดียว แต่คดีนี้ไม่ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาได้เข้ามาในสำนวนคดีแล้วจึงไม่ชอบ

พิพากษายืน

Share