คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1006/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นคนไร้ความสามารถ จำเลยที่ 2 เป็นผู้อนุบาลตามคำสั่งศาล จำเลยที่ 2 ได้สมยอมทำหนังสือสัญญากู้เงินกับโจทก์เพื่อเรียกร้องเอาทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เมื่อเป็นเช่นนี้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลไร้ความสามารถ มีนางปรุงอาคุนเคน เป็นผู้อนุบาล วันที่ 1 กันยายน 2499 จำเลยที่ 1 โดยนางปรุงผู้อนุบาลและจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 40,000 บาท กำหนดชำระภายในวันที่ 1 กันยายน 2501 จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน ขอให้ศาลบังคับ

ชั้นแรก จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ต่อมานางเหลี่ยมอาคุนเคน พี่สาวจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดีศาลสั่งอนุญาต และอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่แยกกันอยู่ ในระหว่างวันเดือนปีที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต และไม่อยู่ในความเลี้ยงดูรักษาของจำเลยที่ 2 ไม่มีการกู้ยืมเงินกันดังฟ้องแต่โจทก์กับจำเลยที่ 2, 3 สมคบกันตั้งหนี้สินขึ้น โจทก์ดำเนินคดีไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 รับว่า ได้กู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์จริง เพื่อใช้รักษาพยาบาลจำเลยที่ 1 และบุตร

จำเลยที่ 3 ต่อสู้ว่า โจทก์จำเลยได้ตกลงผ่อนชำระหนี้กันเป็นรายเดือนโดยผู้ค้ำประกันไม่ได้ร่วมผูกพันด้วย ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นความรับผิด

ศาลชั้นต้นเห็นว่า หนี้สินรายนี้เป็นการสมยอมกันเพื่อเรียกเอาทรัพย์จากจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การยอมรับ จึงให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 3 โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องจึงไม่ต้องชำระหนี้แก่โจทก์ พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 นั้นให้ใช้หนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ใช้หนี้

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า หลังจากศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 อยู่ในความอนุบาลของจำเลยที่ 2 เพียง 7 วัน จำเลยที่ 2 ก็เอาที่ดินของจำเลยที่ 1 ไปขายฝากเป็นเงิน 55,000 บาท หลังจากขายฝาก 1 เดือน จำเลยที่ 2 ก็ไปกู้เงินโจทก์ 40,000 บาท เงินที่ได้จากการขายฝากไม่น่าจะหมดเร็วเพราะการรักษาพยาบาลก็น้อยบุตรของจำเลยที่ 2 ก็เรียนเพียงชั้นประถมเท่านั้น จำเลยที่ 2 เคยกู้เงินโจทก์ไป 5,000 บาท โดยนำโฉนดให้โจทก์ยึดถือเป็นประกัน แต่การกู้ครั้งหลังเป็นเงินถึง 40,000 บาท โจทก์ไม่ได้เรียกร้องให้จำเลยที่ 2 หาโฉนดหรือหลักทรัพย์มาให้โจทก์ยึดถือจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันนั้น โจทก์ก็ไม่ทราบว่ามีหลักทรัพย์อะไรบ้าง จะว่าโจทก์เชื่อถือผู้ค้ำประกันได้อย่างไร เมื่อโจทก์เบิกความก็ว่าไม่ติดใจเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 3 พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความพิรุธของการกู้เงินของโจทก์ และจำเลยที่ 2 อนึ่ง ตามสัญญากู้จำเลยที่ 2 จะต้องชำระต้นเงินภายในวันที่ 1 กันยายน 2501 จำเลยไม่ได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์เลย โจทก์เพิ่งมาฟ้องเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2504 เห็นได้ว่าเป็นการเรียกร้องล่าช้าผิดปกติ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้อง โจทก์ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับแทนจำเลยที่ 1 ทั้งที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นผู้อนุบาลจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 เคยยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ขอให้เพิกถอนคำสั่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้อนุบาลจำเลยที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การแก้คดีให้จำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้ศาลสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ ซึ่งถ้านางเหลี่ยมไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดีและยื่นคำให้การแทนจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 ก็ไม่มีโอกาสยื่นคำให้การต่อสู้คดีนี้ได้พฤติการณ์และเหตุผลดังกล่าวทั้งหมด ประกอบกันแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ของโจทก์และจำเลยที่ 2, 3 รูปคดีน่าเชื่อว่าหนี้สินรายนี้ได้สมยอมกันทำขึ้นเพื่อเรียกร้องเอาทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้จำเลยที่ 1 ชนะคดีชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

Share