คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทจำเลยที่1ผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้การต่อสู้ว่ามีเงื่อนไขตกลงกับโจทก์ว่าโจทก์จะต้องมอบเครื่องเพชรพลอยรูปพรรณให้จำเลยที่1ไปจำหน่ายแต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงจำเลยที่1จึงมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา84 แม้โจทก์จะนำเช็คพิพาทเข้าบัญชีของบุคคลใดแต่เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทที่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ย่อมเป็นบุคคลที่ถูกโต้แย้งสิทธิโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาถนนทองหล่อ ลงวันที่ 10 มีนาคม 2535 จำนวนเงิน 320,000 บาทซึ่งเป็นเช็คสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คเป็นอาวัลมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเช็คไปเข้าบัญชี เพื่อเรียกเก็บเงินตามวิธีการของธนาคาร แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินให้เหตุผลว่า “มีคำสั่งให้ระงับการจ่าย” โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามเช็คแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 341,666.67 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 320,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ประกอบกิจการค้าขายเครื่องเพชรพลอย ทองรูปพรรณ และเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 2 เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2535 โจทก์และจำเลยที่ 2 ขอร้องให้จำเลยที่ 1ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ของจำเลยที่ 2 แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมต่อมาจำเลยที่ 2 แจ้งต่อจำเลยที่ 1 ว่าโจทก์จะมอบเครื่องเพชรพลอย และทองรูปพรรณให้จำเลยที่ 1 นำไปจำหน่าย โดยให้จำเลยที่ 1สั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมมอบให้โจทก์ไว้เป็นหลักประกันการชำระราคาจำเลยที่ 1 จึงออกเช็คพิพาทมอบให้จำเลยที่ 2 นำไปมอบให้แก่โจทก์แต่โจทก์มิได้มอบเครื่องเพชร พลอย และทองรูปพรรณให้แก่จำเลยที่ 1ตามที่ตกลงกันไว้ที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์จึงเกิดจากการคบคิดกันฉ้อฉลของโจทก์กับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1กับโจทก์ไม่มีมูลหนี้อะไรต่อกัน จำเลยที่ 1 จึงมีคำสั่งห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน320,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2535 ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อแรกว่า จำเลยที่ 1สั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อเป็นประกันในการที่จำเลยที่ 1 จะขอรับเครื่องเพชร พลอย รูปพรรณจากโจทก์มาจำหน่ายโดยมีจำเลยที่ 2เป็นคนกลาง แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเครื่องเพชร พลอยรูปพรรณตามที่ตกลงกันไว้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ข้อนี้จำเลยที่ 1 ให้การรับว่าเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบหมายให้จำเลยที่ 2 ไปมอบให้โจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท ที่จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่า มีเงื่อนไขตกลงกับโจทก์ว่าโจทก์จะต้องมอบเครื่องเพชร พลอยรูปพรรณ ให้จำเลยที่ 1ไปจำหน่าย แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 84 ที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่า จำเลยที่ 1 มอบเช็คพิพาทให้จำเลยที่ 2 นำไปมอบให้โจทก์เพื่อเป็นประกันราคาสินค้าที่โจทก์จะให้จำเลยที่ 1 จำหน่าย แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับสินค้านั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีอาชีพเป็นตัวแทนประกันภัย เป็นนายหน้าซื้อขายที่ดินและรับติดต่อเกี่ยวกับการทำนิติกรรมเรื่องที่ดินเป็นเวลานานถึง 10 ปี และจบการศึกษาชั้นปริญญาตรีจากคณะบริหารธุรกิจ สาขาการเงินการธนาคารมหาวิทยาลัยรามคำแหง ฉะนั้นจำเลยที่ 1 ต้องรู้ว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดตามเช็คพิพาทอย่างไรบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะสั่งจ่ายเช็คพิพาทซึ่งมีจำนวนเงินถึง 320,000 บาท มอบให้โจทก์โดยไม่มีมูลหนี้ใด ๆส่วนที่นายวรภัทร อุทัยรัตน์ พยานจำเลยที่ 1 เบิกความเห็นว่านายวรภัทรมิได้มีส่วนรู้เห็นข้อเท็จจริงในการออกเช็คพิพาทของจำเลยที่ 1 โดยตลอด คำเบิกความของนายวรภัทรจึงเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนัก และที่นายโกมล วงศ์มั่น พยานจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาถนนทองหล่อ ในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทเบิกความว่า หากไม่มีการอายัดเช็คพิพาทธนาคารจะจ่ายเงินให้นั้น นายโกมลก็เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยที่ 1 มีวงเงินเบิกเงินเกินบัญชีได้ 2,000,000 บาท แต่ในวันที่ 4 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2535จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ธนาคารอยู่ 3,728,506.75 บาท ถ้ามีการนำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินก็เป็นการจ่ายเกินกว่าวงเงิน ต้องเสนอผู้จัดการให้อนุมัติ คำเบิกความของนายโกมลยังไม่เป็นการแน่นอนว่าธนาคารจะจ่ายเงินตามเช็คพิพาทหรือไม่ ข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1 มีฐานะการเงินดีดังที่อ้าง ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 2 สลักหลังเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้า ดังนั้นจำเลยที่ 1 ซึ่งลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์นำเช็คพิพาทเข้าบัญชีนายจรูญฤทธิ์เพื่อให้เรียกเก็บเงิน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะนำเช็คพิพาทเข้าบัญชีของบุคคลใดแต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทที่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ย่อมเป็นบุคคลที่ถูกโต้แย้งสิทธิโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน

Share