แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ศาลจะฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยได้ เพราะโจทก์ฟ้งอคดีภายหลังที่จำเลยเข้าแย่งการครอบครองเกิน 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้ฟ้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในการที่จำเลยได้เข้าแย่งการครอบครองมาในฟ้องด้วย โดยจำเลยมิได้ยกอายุความเรื่องละเมิดขึ้นต่อสู้ ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นาพิพาทเป็นของนายผลบิดาโจทก์ นายผลถึงแก่กรรม โจทก์เป็นทายาทและเป็นผู้จัดการมรดกเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๐๐ โจทก์เข้าจัดการทำประโยชน์ในนาพิพาท จำเลยทั้งสามเข้าขัดขวางและบุกรุกเข้าไปไถหว่านนาพิพาทหมดทั้งแปลง ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ไปใน พ.ส. ๒๕๐๐ เป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลห้ามจำเลยทั้งสามอย่าให้เกี่ยวข้องกับนาพิพาท กับให้จำเลยเสียค่าเสียหายแก่โจทก์ ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า นาพิพาทบิดาโจทก์ขายให้จำเลยที่ ๑ ครอบครองโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาประมาณ ๓ ปีแล้ว จำเลยที่ ๑ ย่อมได้สิทธิครอบครอง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิได้เข้าเกี่ยวข้องกับนาพิพาท
โจทก์ขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๓
ศาลชั้นต้นฟังว่านาพิพาทเป็นของบิดาโจทก์ ไม่ได้ขายให้จำเลย พิพากษาห้ามจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับนาพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๘๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า บิดาโจทก์ไม่ได้ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ แต่ตามฟ้องโจทก์ว่าจำเลยที่ ๑ ได้เข้าขัดขวางมิให้โจทก์เข้าครอบครองนาพิพาทตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๐๐ จำเลยทั้งสามยังได้สมคบกันเข้าไปไถหว่านนาแปลงนี้หมดทั้งแปลง โจทก์ห้ามไม่เชื่อฟัง อันเป็นการแย่งการครอบครอง นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๑ ภายหลังจำเลยที่ ๑ เข้าแย่งการครอบครองนาพิพาท ๑ ปี ๕ เดือนเศษ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ ๑ ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาในประเด็นหลายข้อ เฉพาะเรื่องค่าเสียหายนั้น โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ โจทก์จึงยังมีสิทธิได้รับค่าเสียหาย ศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ว่า “จำเลยแก้ฎีกาโต้แย้งเพียงว่าโจทก์หมดสิทธิที่จะได้เพราะจำเลยเข้าทำโดยใช้สิทธิทางครอบครองเท่านั้น ซึ่งข้อกล่าวอ้างของจำเลยหาฟังขึ้นไม่ เพราะกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยละเมิดสิทธิครอบครองของโจทก์ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ก่อนที่จำเลยจะได้ครอบครองครบ ๑ ปี และจำเลยก็มิได้ยกอายุความเรื่องละเมิดขึ้นต่อสู้ ทั้งกล่าวแก้ฎีกาก็มิได้โต้แย้งจำนวนเงินที่จะต้องชดใช้ ศาลฎีกาจึงเห็นควรให้จำเลยขอใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้” พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหาย คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์