คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10027/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นบุตรของผู้ตาย คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ และที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย แต่ติดจำนองบุคคลภายนอกที่ไม่ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยคดีนี้จึงไม่อาจพิพากษาให้จดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยปลอดจำนองได้ จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งว่าโจทก์ไม่ใช่บุตรของผู้ตาย คดีโจทก์ขาดอายุความ และที่ดินพิพาทไม่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย โจทก์ไม่อุทธรณ์ เพียงแก้อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีชั้นอุทธรณ์จึงไม่มีปัญหาว่าจำเลยจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 นอกจากจะวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นบุตรของผู้ตาย คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ และที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์ที่ผู้ตายครอบครองแทนทายาทอื่นแล้ว ยังวินิจฉัยเลยไปว่าต้องนำทรัพย์มรดกมาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยคนละครึ่งแล้วพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกึ่งหนึ่งในที่ดินพิพาท และพิพากษาเลยไปถึงบ้านที่ตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าวด้วย ดังนี้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นการพิพากษาให้สิ่งใดๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ มิชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3299 ให้แก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกึ่งหนึ่งในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3299 เนื้อที่ 8 ไร่ 2 งาน 94 ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ 2/3 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โดยให้คงนิติกรรมจำนองไว้ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือเป็นทรัพย์ที่นายเอื้อนและนางฉายที่จดทะเบียนโอนให้ผู้ตายครอบครองแทนทายาทอื่น โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ตายจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เมื่อผู้ตายถึงแก่กรรม จำเลยกับพี่น้องและบิดาเลี้ยงของโจทก์ไปร่วมกันแจ้งว่าผู้ตายไม่มีบุตร ให้จำเลยรับโอนทรัพย์มรดกที่ดินพิพาท ไถ่จำนองจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรแล้วนำไปจดทะเบียนจำนองไว้กับธนาคารออมสิน ฝ่ายจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนางฉาย เมื่อนางฉายถึงแก่กรรม นายเอื้อนเป็นผู้จัดการมรดก ได้ขอออกโฉนดใส่ชื่อผู้ตายแทนพี่น้องทุกคนเพราะนายเอื้อนอ่านหนังสือไม่ออก ผู้ตายจำนองที่ดินพิพาทกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรนำเงินมาให้พี่น้องซึ่งเดือดร้อนเรื่องเงิน เมื่อผู้ตายถึงแก่กรรมไม่มีพี่น้องคนใดอยากรับโอนที่ดินพิพาท จำเลยจึงตัดสินใจรับโอนโดยไถ่จำนอง แล้วร่วมกับพี่น้องทุกคนและนายวิระพงศ์ไปสำนักงานที่ดินจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทโดยพี่น้องทุกคนสละมรดก นอกจากนั้นจำเลยมีนายร่วม น้องของนางฉาย นายเอี่ยม นางสมพร นางสมใจ บุตรของนางฉาย และนายวิระพงศ์ สามีใหม่ของผู้ตายเบิกความทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทพร้อมบ้านบนที่ดินดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของนายเอื้อนกับนางฉาย ต่อมาใส่ชื่อผู้ตายในโฉนดไว้ก่อนระหว่างที่ยังไม่ได้แบ่งให้พี่น้อง เมื่อผู้ตายถึงแก่กรรม พี่น้องประชุมร่วมกันว่าใครรับมรดกชิ้นนี้ต้องจ่ายเงินให้พี่น้องอื่นคนละ 50,000 บาท ไม่มีพี่น้องคนใดต้องการรับมรดก จำเลยจึงตกลงรับไว้ เห็นว่า เดิมที่ดินพิพาทมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ระบุชื่อนางฉายเป็นเจ้าของ โจทก์อ้างว่าผู้ตายมีชื่อเป็นเจ้าของในโฉนด โดยไม่ปรากฏว่าเหตุใดชื่อเจ้าของจึงเปลี่ยนจากนางฉายมาเป็นผู้ตาย แต่ฝ่ายจำเลยมีญาติผู้ใหญ่กับพี่น้องหลายคนมาเบิกความยืนยันว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนางฉายปลูกบ้านอยู่อาศัยกับนายเอื้อนมาแต่ดั้งเดิม เมื่อผู้ตายถึงแก่กรรมจำเลยยังไปไถ่ถอนจำนองและรับโอนมา พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักน่าเชื่อมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางฉายโดยผู้ตายมีชื่อในโฉนดเพื่อถือแทนทายาทอื่นดังศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นบุตรของผู้ตาย คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ และที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย แต่ติดจำนองบุคคลภายนอกที่ไม่ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยคดีนี้จึงไม่อาจพิพากษาให้จดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยปลอดจำนองได้ จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งว่าโจทก์ไม่ใช่บุตรของผู้ตาย คดีโจทก์ขาดอายุความ และที่ดินพิพาทไม่เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย โจทก์ไม่อุทธรณ์ เพียงแก้อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีชั้นอุทธรณ์จึงไม่มีปัญหาว่าจำเลยจะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 นอกจากจะวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นบุตรของผู้ตาย คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ และที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์ที่ผู้ตายครอบครองแทนทายาทอื่นแล้ว ยังวินิจฉัยเลยไปว่าต้องนำทรัพย์มรดกมาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยคนละครึ่งแล้วพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกึ่งหนึ่งในที่ดินพิพาท และพิพากษาเลยไปถึงบ้านที่ตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าวด้วย ดังนี้ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นการพิพากษาให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ มิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องอุทธรณ์ จึงต้องบังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นในชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share