แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า จำเลยเคยยื่นฎีกาใจความอย่างเดียวกันนี้มาหนหนึ่งเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2529 และศาลไม่รับฎีกา เพราะเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับเป็นฎีกาจำเลยเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษจำเลยจากจำคุก3 เดือน เป็นจำคุก 1 ปี นั้นเป็นการแก้ไขเพิ่มโทษในอัตราสูงกว่าเดิม ทำให้จำเลยได้รับโทษเพิ่มขึ้น ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขมากจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และฎีกาของจำเลยบางข้อเป็นปัญหาข้อกฎหมาย มีเหตุอันควรที่ศาลสูงจะได้วินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 169)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 จำคุก3 เดือน ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 1 ปี ฯลฯ
จำเลยยื่นฎีกาฉบับแรกลงวันที่ 11 มิถุนายน 2529 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับโดยอ้างว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จำเลยได้ยื่นฎีกาฉบับหลังและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 161,164)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 165)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน1 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนข้อฎีกาที่ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คหรือไม่ และได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วหรือไม่ ก็ล้วนแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาเช่นกันศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย