แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยได้ยื่นฎีกา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2536แต่เนื่องจากฎีกาของจำเลยยังมีข้อบกพร่องอยู่ เนื่องด้วยได้พิมพ์ข้อความบางส่วนตกหล่น จึงขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาของจำเลยในหน้า 9บรรทัดที่ 7 ต่อจากคำว่า “น่าจะฟังเหตุผลข้อเท็จจริงประกอบกันด้วย”โดยขอเพิ่มเติมข้อความดังต่อไปนี้”ซึ่งศาลฎีกาก็ยังได้วางแนวฎีกาโดยวินิจฉัยว่า การแจ้งการ ครอบครองที่ดินต่อนายอำเภอท้องที่ (สค.1)หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าผู้แจ้งการครอบครองเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินเสมอไปไม่ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1719/2514การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีหลักฐาน สค.1 และมีการเสียภาษีบำรุงท้องที่ จึงยังไม่ถูกต้อง ซึ่งที่ดินพิพาทจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำกินมาจริง ๆ จึงน่าที่จะฟังได้ว่าเป็นผู้มีสิทธิที่ดินพิพาทนี้ และศาลฎีกาก็ยังได้วางแนววินิจฉัยไว้แล้วตามฎีกาที่ 1295/2510 ว่าแม้ไม่ได้แจ้งการครอบครองหรือเสียภาษีบำรุงท้องที่ ก็ไม่ทำให้การครอบครองเสียไป” นอกจากที่ขอแก้ไขนี้แล้งคงเป็นไปตามฎีกาของจำเลยทุกประการโปรดอนุญาต
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 167)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา (อันดับ 159)
จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 161)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าข้อที่จำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกานั้นเกี่ยวข้องกับฟ้องฎีกาเดิมและโจทก์ไม่คัดค้าน จึงอนุญาต