แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า มิใช่ปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งฎีกาว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกและไม่มีคำอนุญาตให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกาของจำเลยฉบับนี้ จำเลยเห็นว่า จำเลยไม่ได้มีเจตนาลักกระเป๋าของผู้เสียหาย เพราะมีเจตนาบริสุทธิ์จะนำไปสู่เจ้าของเดิม และจำเลย ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีมาตลอด มีอาชีพสุจริตและครอบครัว ที่ต้องเลี้ยงดู ประกอบกับไม่เคยถูกจับกุมดำเนินคดีอาญามาก่อน ขอให้ลงโทษจำเลยในสถานเบา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกา ของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 47 แผ่นที่ 3) ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(9) วรรคสาม จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี พิเคราะห์รายงาน การสืบเสาะแล้วไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 34,33 แผ่นที่ 3,42) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 47 แผ่นที่ 3)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว คำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้น ที่ไม่รับฎีกาของจำเลยอ้างเพียงว่า พยายามให้ศาลรับฎีกา ของจำเลยตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว และตามพฤติการณ์ และข้อเท็จจริงมีเหตุผลจะให้ลงโทษจำเลยในสถานเบา เห็นว่า คำร้องของ จำเลยมิได้โต้แย้งหรือคัดค้านคำสั่ง ศาลชั้นต้น ว่าคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด หรือฎีกาของจำเลย ดังกล่าวไม่ต้องห้ามตามกฎหมายอันควรที่ศาลจะรับไว้พิจารณาจึงไม่รับวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ให้ยกคำร้อง