แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงทั้งสิ้นเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลง แต่คงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 217(น่าจะเป็นมาตรา 218) จึงไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่าศาลอุทธรณ์รับฟังพยานโจทก์ซึ่งเป็นพยานบอกเล่ามาพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลย เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายและการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น แต่ลดโทษให้หนึ่งในสี่คงลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี 10 เดือน 15 วัน เป็นการพิพากษาแก้ไขมากไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดสั่งให้รับฎีกาของจำเลยด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 115)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4),78,157,160 เรียงกระทงลงโทษ ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจำคุก 5 ปี ฐานไม่หยุดช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำคุก 2 เดือนรวมจำคุก 5 ปี 2 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปี 10 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 114)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 115)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายให้ลงโทษจำคุก 5 ปีกระทงหนึ่งและฐานความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบกจำคุก 2 เดือนอีกกระทงหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 10 เดือน 15 วันนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อยจำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง