คำสั่งคำร้องที่ 551/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกา
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นการฎีกาคำสั่งของศาลที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณา ต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
กรณีเป็นชั้นขอให้พิจารณาใหม่
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 44,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 20 เมษายน 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (23 กันยายน 2534) จะต้องไม่เกิน29,536.11 บาท ตามขอ
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีนี้ส่งคำบังคับให้จำเลยเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2535จำเลยมิได้ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับ และตามคำร้องไม่มีเหตุแห่งการที่ล่าช้าหรือพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยไม่อาจยื่นคำขอได้ภายในเวลาที่กำหนด จึงไม่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 50)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ โดยมีคำแถลงประกอบว่า จำเลยยื่นฎีกาโดยได้เสียค่าขึ้นศาลครบถ้วนแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาโดยเสียค่าธรรมเนียมอุทธรณ์คำสั่งแล้ว ส่วนหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์ตามคำพิพากษา ได้มีการบังคับคดีโดยโจทก์ได้นำ เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์แล้วจึงเป็นหลักประกันเพียงพอจะชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา (อันดับ 52)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าภูมิลำเนาตามฟ้องเป็นภูมิลำเนาของจำเลย การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยจึงเป็นการส่งโดยชอบ และในการ พิจารณาสืบพยานโจทก์ เสมียนทนายจำเลยผู้รับมอบฉันทะจาก ทนายจำเลยได้เซ็นทราบวันนัดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา จึงถือ ว่าจำเลยทราบนัดโดยชอบกับได้ความว่าเจ้าพนักงานศาลได้นำ คำบังคับไปส่งให้บุตรชายจำเลยซึ่งมีอายุเกินยี่สิบปีและ อยู่บ้านเรือนเดียวกับจำเลยเป็นผู้รับแทน จึงถือว่าเป็นการส่งคำบังคับโดยถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ที่จำเลย ฎีกาว่า การส่งคำบังคับให้จำเลยมีบุคคลอื่นซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นบุตรของจำเลยรับไว้แทน จำเลยจึงไม่ทราบว่าจำเลย ถูกฟ้องและแพ้คดี ต้องชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ ต่อเมื่อโจทก์ นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการบังคับคดี จำเลยจึงทราบและมายื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่ภายในกำหนดแล้ว เป็นฎีกาข้อเท็จจริงซึ่งการยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกา ไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

Share