แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาข้อ ก. เป็น ฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก ฎีกาข้อ ข. เป็นฎีกาในปัญหาที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบตั้งแต่ศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ ก. ที่ว่า จำเลยให้บุคคลอื่นใช้ตั๋วเครื่องบินในชื่อบุตรของจำเลย เป็นเพียงการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของบริษัทการบินไทย จำกัด ผู้เสียหายอันเป็นความผิดทางแพ่ง จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตต่อผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนฎีกาข้อ ข. ที่ว่า การจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่มีหมายจับ เมื่อทนายจำเลยได้ถามค้านพยานเป็นข้อต่อสู้ในการพิจารณาของศาลชั้นต้นและได้ยกขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย จึงเป็นฎีกาในปัญหาที่ได้ยกว่ากล่าวกันมาแล้วตั้งแต่ในศาลชั้นต้น ทั้งเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยย่อมยกขึ้นได้เสมอ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 60)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบด้วยมาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 4 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและคำเบิกความในชั้นศาล ของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี 8 เดือน กับให้จำเลยใช้เงินค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินแก่ ผู้เสียหายจำนวน 85,410 บาท ส่วนความผิดข้อหาอื่นนอกจากนี้ ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 58)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 60)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามฎีกาจำเลยข้อ ก. ที่ว่า จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตต่อผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นั้น เป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่าง ฎีกาจำเลย ข้อนี้เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้อ ข. ที่จำเลยฎีกาว่า การจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่มี หมายจับ เมื่อทนายจำเลยได้ถามค้านพยานเป็นข้อต่อสู้ในการพิจารณา ของศาลชั้นต้น และได้ยกขึ้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ได้ยกว่ากล่าวกันมาแล้วตั้งแต่ในศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า แม้เป็นข้อที่จำเลยได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่าง แต่จำเลยไม่ได้แสดงไว้โดยชัดเจนในฎีกาว่า การที่ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยนั้น จะทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปอย่างใด ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง