แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนฎีกาในปัญหา ข้อกฎหมายของจำเลยนั้นไม่ได้มีการยกขึ้นมาว่ากันในศาลชั้นต้นและ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 และไม่เป็นสาระแก่คดี จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการกระทำความผิดของ จำเลยทั้งหมดในข้อหาความผิดฐาน ปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม เป็น ความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานฉ้อโกง และความผิดฐานทำลายเอกสาร โดยที่ศาลควรจะลงโทษจำเลยเพียงกระทงความผิดเดียว ฎีกาของจำเลย แม้มิได้มีการยกขึ้นมาว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3แต่ก็ เป็นข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญ เพราะเป็นการวินิจฉัยว่า จำเลยต้อง รับโทษเพียงกระทงความผิดเพียง 2 ปี หรือต้องรับโทษ 2 กระทงความผิด ซึ่งต้องโทษจำคุก 4 ปี อันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย และอิสระภาพของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 112)
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188,264,268,341 ฐานทำลายเอกสาร จำคุก 3 ปี ฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอม ตามมาตรา 268 วรรคสองประกอบมาตรา 264 และเนื่องจากการที่จำเลย ใช้เอกสารปลอมเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานฉ้อโกง และบทบัญญัติทั้งสอง มาตราดังกล่าวมีอัตราโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคสองประกอบมาตรา 264 ให้จำคุก 3 ปี เรียงกระทงลงโทษรวม 2 กระทง ให้จำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา อยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 4 ปี ฯลฯ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 107)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 112)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ว่าการกระทำของจำเลยทั้งหมดตามฟ้อง เป็นการกระทำเพียงกรรมเดียวหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อยแม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 จึงให้รับฎีกาของจำเลย ไว้พิจารณาต่อไป