แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลไม่รับรองให้ฎีกา จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาที่มีทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยเฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 200)
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 19,800 บาท และค่าเสียหาย เป็นค่าขาดรายได้อีกปีละ 1,400 บาทแก่โจทก์ จนกว่าจำเลย และบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย เป็นเงิน 18,000 บาทให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 194)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 196)
คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 27527 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยจดทะเบียนซื้อมาเมื่อปี 2526 นางระเบียบ เจ้าของเดิมเป็นผู้ขอออกโฉนดเมื่อปี 2518 โดยแยกมาจาก น.ส.3 เลขที่ 722/355 ซึ่งแบ่งแยกมาจาก น.ส.3 เลขที่ 355 ในการออก น.ส.3 การแบ่งแยก น.ส.3 หรือการออกโฉนดดังกล่าวโจทก์ไม่เคยโต้แย้ง คัดค้านทั้งไม่ปรากฏหลักฐานว่าขณะนี้ได้มีการเพิกถอนโฉนดที่ดิน ดังกล่าว ส่วนพยานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ฎีกาสรุปได้ว่า จำเลยเบิกความเลื่อนลอยไม่มีเหตุผล เชื่อไม่ได้ พยานจำเลยนำสืบมาก็มีพิรุธเชื่อไม่ได้ว่า นางระเบียบได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การออกโฉนดที่ดินดังกล่าวนางระเบียบจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินจำเลยผู้รับโอนที่ดินพิพาทต่อมาจึงไม่มีสิทธิในที่ดิน เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมตาม พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18
ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลย ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 18,000 บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จึงฎีกาว่ามีสิทธิครอบครอง ที่พิพาทได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก นั้น เห็นว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนในเรื่องที่ว่าที่พิพาท เป็นของจำเลย ซึ่งมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง บทกฎหมายมาตราที่โจทก์อ้างมิใช่ เกี่ยวกับในเรื่องฎีกา ซึ่งไม่เกี่ยวกับปัญหาความสงบเรียบร้อย ของประชาชน ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง